24 ธค. 62 ในปีที่ฝ่านมา สถานการณ์โลกมีเรื่องน่าสนใจมากมาย ข่าวต่างประเทศ เด่นๆก็มีมาก แต่ทีมข่าว Bright Today ได้ขอรวบรวม 5 สุดยอด ข่าวต่างประเทศ แห่งปี 2019 ที่คุณไม่ควรพลาด มาแนะนำดังนี้
5.เกรต้า ธันเบิร์ก คนรุ่นใหม่กับภารกิจช่วยโลก
นิตยสาร Time เพิ่งประกาศเลือกให้ เกรต้า ธันเบิร์ก สาวน้อยชาวสวีเดนวัย 16 ปี เป็น บุคคลแห่งปี 2019 ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับตำแหน่งนี้ หลังจากที่เธอเดินหน้ารณรงค์และทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมมาตลอดปี เริ่มตั้งแต่การประกาศหยุดเรียน เพื่อประท้วงให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองแก้ปัญหาโลกร้อน จนมีเด็กนักเรียนมาร่วมประท้วงกับเธอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมสร้างกระแส #Fridaysforfuture ในโลกออนไลน์ รวมถึงสร้างเว็บไซต์ Fridays for Future ขึ้นมา
เกรต้า ธันเบิร์ก โด่งดังไปทั่วโลก ได้รับเชิญให้ไปพูดในอีเวนต์สำคัญต่างๆทั่วโลก จนเธอกลายเป็นสัญลักษณ์ทั้งของคนรุ่นใหม่ที่รักสิ่งแวดล้อม วันที่ 17 เมษายน 2019 เกรต้า ธันเบิร์ก มีโอกาสได้พบกับโป๊ปฟรานซิส ที่วาติกัน องค์สันตะปาปาได้กล่าวกับเกรต้าว่า “ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง ทำในสิ่งที่เธอทำต่อไป เดินหน้าต่อไป” สุนทรพจน์ของ เกรตา ธันเบิร์ก ในเวทีประชุมโลกร้อน UN สร้างกระแสกับผู้ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “”ดิฉันไม่สมควรอยู่ที่นี่ ฉันควรจะอยู่ในห้องเรียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทร แต่พวกคุณกลับโยนความหวังมาให้กับพวกเราคนรุ่นใหม่ กล้าดียังไง!” คำพูดนี้น่าจะทำเอาผู้นำโลกหลายคนหน้าชาไปบ้าง และเชื่อว่าในปีถัดไป เกรต้า ธันเบิร์ก จะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆในการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง
4.ไฟไหม้มหาวิหารนอเทรอดาม
มหาวิหารนอเทรอดามไฟไหม้ ในช่วงเดือนมีนาคม ถือเป็นข่าวใหญ่มากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยสถานที่ท่องเที่ยวและโบราณสถานเก่าแก่อายุ 850 ปี กลางกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมหาอาสนวิหารนอเทรอดาม สุดยอดสถาปัตยกรรมศิลปะโกธิคชั้นนำของโลกตะวันตก เกิดเหตุไฟไหม้ตั้งแต่เวลา 18.30 น. ของวันที่ 15 เม.ย. ท่ามกลางความตื่นตระหนกของชาวปารีสและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก นักดับเพลิงต้องใช้เวลานานกว่า 15 ช.ม. กว่าจะควบคุมเพลิงไว้ได้
ทั้งนี้ สาเหตุของไฟไหม้ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า เป็นเพราะไฟฟ้าลัดวงจร ที่อาจเกี่ยวข้องกับการบูรณะมหาวิหาร จนต่อมากลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ ซึ่งอาจต้องใช้งาน งบประมาณ 6 ล้านยูโร หรือประมาณ 210 ล้านบาท ในการบูรณะมหาวิหารใหม่ โดยถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวคริสต์ และ วงการศิลปะของโลก ด้านมหาวิหารนอเทรอดามเป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสมีลักษณะเด่นคือยอดหอคอยแหลมพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบโกธิคที่สวยงาม มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยี่ยมชมมากกว่า 13 ล้านคนต่อปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1991 ผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงคือเรื่องการท่องเที่ยว รองลงมาคือการบูรณะมหาวิหารนอเทรอดามที่โครงสร้างหลักถูกทำลายไปจนเกือบหมด
3.สมเด็จพระสันตะปาปาเสร็จฟรานซิส เยือนหลายประเทศ
การเสด็จเยือนประเทศต่างๆของ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ชาวอาร์เจนตินา มุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรมและผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก ในปีนี้ ถือเป็นข่าวใหญ่ของโลก โดย พระสันตะปาปาพระองค์ที่ 266 ของพระศาสนจักร ซึ่งพระชนมายุ 83 พรรษา เดินทางไปเยือนหลายประเทศทั่วโลกในปี 2019 ไล่เรียงตั้งแต่ ปานามา สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โมรอกโก บัลแกเรีย มาเซโดเนีย โรมาเนีย โมซัมบิค มาดากัสการ์ เมาริเชียส ไทย และ ญี่ปุ่น ซึ่งการเยือนไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปี ส่วนการเยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 38 ปี
ในส่วนของสารที่ สมเด็จพระสันตะปาปาเสร็จฟรานซิส กล่าว พระสมณดำรัส ในไทยตอนหนึ่งว่า “พี่น้องที่รักทุกท่าน เราทุกคนล้วนเป็นสมาชิกครอบครัวมนุษยชาติ ขอเชิญชวนทุกคนไม่ว่าจะมีตำแหน่งหรือสถานภาพใดๆร่วมกันสร้างสรรค์และดำเนินการโดยตรงในการสร้างวัฒนธรรมโดยมีค่านิยมร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข” นอกจากนี้ ล่าสุด สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ยังได้ประกาศยกเลิกกฎความลับของวาติกันที่ควบคุมกรณีการล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาในวาติกันได้สะดวกขึ้น นับว่าเป็น สมเด็จพระสันตะปาปา องค์ที่ทรงงานหนัก และมีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้างต่อ ศาสนาอื่น รวมถึงวัฒนธรรมที่แตกต่าง เพื่อให้บรรรลุพันธกิจแห่งความรักของ ศาสนาคริสต์
2.สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ต่อเนื่องมาเป็นปีที่สอง
ปี 2019 เป็นช่วงที่หลายประเทศประสบกับปัญหาทางเศษฐกิจกิจ จนอาจกล่าวได้ว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจาก สงครามการค้าของ สหรัฐอเมริกา กับ จีน ที่ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อ สหรัฐฯ ได้ตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจีน ส่วน จีน ก็เอาคืนด้วยการ การตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้าของสหรัฐฯเช่นกันในทุกๆครั้ง โดยรอบล่าสุดคือ เดือนส.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 15%
สำหรับ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยืดเยื้อมา 2 ปีแล้ว คือตั้งแต่ปี 2018-2019 แม้ว่าในปีนี้ ท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดี ของจีนจะมีแนวโน้มที่อ่อนลง มีช่วงที่เลือกจะพักรบกัน จากการบรรลุข้อตกลงการค้าครั้งใหม่ แต่ความขัดแข้งในกรณี หัวเว่ย เมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยสหรัฐฯกล่าวหาว่า หัวเว่ยละเมิดการแซงก์ชั่นอิหร่าน ส่งผลให้ เมิ่ง ว่านโจว ซีเอฟโอของหัวเว่ย ถูกควบคุมตัวอยู่ในแคนาดา ก็สร้างความบาดหมางให้สองประเทศยักษ์ใหญ่พอสมควร เมื่อบวกกับ สมรภูมิประท้วงฮ่องกง ที่ทางการสหรัฐฯออกมาสนับสนุนผู้ประท้วงชัดเจน อาจทำให้กการ ญาติดี ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ไม่ได้การันตีว่า สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยุติลงแต่อย่างใด
1.ประท้วงฮ่องกง ยืดเยื้อ-รุนแรง
สถานการณ์ที่คนทั่วโลกจับตามากที่สุด น่าจะเป็นเหตุ ประท้วงฮ่องกง ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 6 เดือน หรือ 233 ตั้งแต่ 31 มีนาคม – 18 พฤศจิกายน ได้สร้างความเสียหายและผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม จนทำให้เมืองที่มีความมั่นคงทางเศษฐกิจอย่าง ฮ่องกง เข้าสู่สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ แม้ในปี 2019 จะมีการประท้วงในหลายประเทศ แต่การประท้วงของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง ถือว่าสร้างแรงกระเพื่อมได้มากที่สุด
เหตุ ประท้วงฮ่องกง เริ่มต้นจาก การชุมนุมประท้วงร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน จนลุกลามเป็นเรื่องทางการเมืองระหว่าง ฮ่องกง กับ จีน มีประเด็นชาตินิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บมากมายจากการปะทะกันของกลุ่มผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งใช้กระสุนจริง ความรุนแรกดังกล่าวถึงขั้น มีรถขนส่งมวลชนและสถานที่ต่างๆถูกเผา-ทำลาย จนสุดท้ายมีผู้ถูกจับกุมตัวไปเป็นจำนวนมาก ยอดนักท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด เศรษฐกิจฮ่องกงตกตํ่าที่สุดในรอบหลายสิบปี มีคนตกงานราว 5,600 คน บริษัทปิดกิจการกว่า 7,000 สุดท้ายแล้ว การประท้วงแห่งปี 2019 ก็ไม่มีฝ่ายไหนชนะเลย เพราะต่างก็พ่ายแพ้และบอบชํ้าประเทศฮ่องกง ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนให้หลายประเทศได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเล็กๆ ที่หากไม่แก้อย่างถูกวิธี ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตระดับโลกได้
