วันที่ 4 ตุลาคม 63 คณะก้าวหน้า จัดงานเปิดตัวโครงการ “Reading Revolution : อ่านเปลี่ยนโลก” คือโครงการห้องสมุดขนาดเล็กสำหรับประชาชน เพื่อสนับสนุนการอ่าน ส่งต่อหนังสือ ขยายพรมแดนความรู้ และเป็นพื้นที่สำหรับการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้อ่านร่วมกัน
หมอวรงค์ ออกโรงเตือน ธนาธร-ปิยบุตร อย่าแกล้งโง่ สักวันจะโดนประชาชนเล่นงาน
ทิพานัน ยันรัฐบาลไม่คิดเตะถ่วงแก้รธน. ซัดธนาธร-ปิยบุตร ดีแต่เสี้ยมให้แตกแยก
โดยคัดหนังสือจากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตรโลก ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย สังคมวิทยา วรรณกรรม ทฤษฎี ปรัชญาการเมือง ฯลฯ จำนวน 21 ปกจาก 12 สำนักพิมพ์ โดยแต่ละปกมีประมาณ 20 เล่ม และจะมีการคัดหนังสือมาให้อ่านมากขึ้นในอนาคต โดยยึดหลักว่าหนังสือที่นำมาแบ่งปันกันอ่านให้เป็นทรัพย์สินร่วมกัน เมื่อใช้แล้วเอามาส่งคืนให้เพื่อนคนอื่นได้อ่านต่อ นอกจากนี้จะมีการจัดกิจกรรม “Reading Group” เป็นเวทีพูดคุยของนักอ่าน แลกเปลี่ยนกับผู้เขียน นักวิชาการ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อเดือน
ฉุน! ปิยบุตร อัด ชนชั้นปกครองไม่ฟังเสียงปชช. จี้ จะเอา “ปฏิรูป” หรือ “ปฏิวัติ”
ในช่วงต้นของงาน ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวเปิดตัวโครงการว่า สำหรับตนแล้วหนังสือมีนัยยะความหมายในสองมิติ 1. ในฐานะที่เป็นวัตถุ สิ่งของชิ้นหนึ่ง 2. ในแง่ตัวบท ความรู้ความคิดที่อยู่ในนั้น เป็นตัวอักษรที่เกิดจากการกลั่นกรอง วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำหน้าที่ให้ความรู้ความคิดกับคน จนหลายครั้งเกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ทางการเมือง คือให้ความรู้ความคิดกับคนจนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรสักอย่าง
และหนังสือยังเกิดขึ้นได้หลายครั้งหลายหน นั่นคือตอนตีพิมพ์ครั้งที่หนึ่งอาจจะอยู่ในวงแคบๆ แต่อาจมีการเกิดครั้งที่สองเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป เรียกร้องให้คนในยุคสมัยต้องนำกลับมาอ่านกันอีกครั้ง เช่น หนังสือของจิตร ภูมิศักดิ์ หรือ หนังสือประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่กลับมาได้รับความนิยมจนหาในท้องตลาดได้ยากแล้วหรือหนังสือบางเล่มเกิดครั้งเดียว วางขายวันแรกก็ได้รับความนิยม เขียนขึ้นมารับใช้สถานการณ์การเมืองในขณะนั้นเลย เช่น Common Sense โดย Thomas Paine หรือ Qu’est-ce que le Tiers-État? (อะไรคือฐานันดรที่สาม) ของ Sieyès เป็นต้น
“ความคิดที่ถูกเขียนออกมาแล้วถ้าไม่มีใครอ่านก็ไม่มีใครรู้ แต่เมื่อถูกอ่านแล้ว อย่างน้อยที่สุดจะเกิดปฏิบัติการในหัวสมองของเราทันที จากการอ่านและคิดตาม บางเล่มมีอานุภาพทำลายล้างความคิดความเชื่อเดิมได้หมด เกิดสิ่งที่วันนี้เรียกว่าอาการตาสว่างขึ้นทันที หนังสือบางเล่มกระตุ้นว่าจะนั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ ต้องออกไปทำอะไรบางอย่างเพื่อการเปลี่ยนแปลง เกิดจินตนาการใหม่ๆ ความเป็นไปได้แบบใหม่ๆ ตั้งแต่ผู้เขียนออกมา ผลิตเป็นหนังสือ จนคนอ่านเอาไปคิดเกิดเป็นแรงบันดาลใจจนปฏิบัติการ นี่จึงเป็นที่มาของโครงการ “Reading Revolution – อ่านเปลี่ยนโลก” เพราะเราเชื่อว่าการอ่านเป็นกุญแจดอกแรกสู่ความรู้ และกุญแจดอกนี้จะช่วยเปิดสมอง ความคิดของคนในการออกไปเปลี่ยนแปลงโลกได้” ปิยบุตร กล่าว
ปิยบุตร กล่าวว่าจุดเริ่มต้นของโครงการนี้มาจาก Twitter ที่ตนเข้าไปอ่านแล้วพบว่าในระยะหลังเยาวชนเริ่มแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือและกลับมาอ่านหนังสือกันเยอะมาก หลายเล่มเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาหนัก แต่ปัญหาที่ตามมาคือหนังสือเหล่านี้มีราคาแพง เพราะอุตสาหรรมการพิมพ์ที่ได้รับการสนับสนุนน้อยทำให้หนังสือตามท้องตลอดมีราคาแพง ห้องสมุดในประเทศไทยที่ได้มาตรฐานก็มีไม่มาก และด้วยสภาพการจราจรก็เดินทางไปยากลำบาก จึงคิดกันว่าน่าจะลงทุนสร้างห้องสมุดเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองกับความต้องการอ่านที่เพิ่มขึ้นของคนรุ่นใหม่
แนวคิดหลัก “อ่านอะไร – เข้าถึงการอ่านได้อย่างไร – อ่านกับใคร”
อ่านเปลี่ยนโลก จึงมีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ 1. อ่านอะไร? มีการคัดหนังสือในรอบแรก 21 ปก ซึ่งมีเนื้อหากระตุ้นให้เปลี่ยนความคิด ลบล้างความเชื่อเดิม และสร้างจินตนาการความเป็นไปได้ใหม่ๆ จนออกไปเปลี่ยนแปลง 2. เข้าถึงการอ่านได้อย่างไร? การแบ่งปันกันอ่าน สนใจเล่มใด ติดต่อขอยืมได้ และอ่านจบแล้ว ส่งคืน เพื่อให้คนอื่นอ่านต่อ หนังสือเป็นทรัพย์สินร่วมกันที่ทุกคนเข้าถึงและใช้สอยได้ 3. อ่านกับใคร? เมื่ออ่านจบ จะมีการจัดเสวนา ทุก 2 สัปดาห์ เพื่อให้ผู้อ่านมาแลกเปลี่ยนกัน พร้อมเชิญผู้เขียน นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นนั้นๆ มาถกเถียงกับผู้อ่านด้วย เพราะเราเห็นว่าการอ่านคนเดียวอาจจะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเรามาอ่านกับคนอื่นๆ นำไปสู่การถกเถียง ย่อมจะเป็นแรงบันดาลใจของการออกไปเปลี่ยนแปลงโลกได้
ปิยบุตร ยังกล่าวอีกว่า สังคมไทยเรา เดินทางมาถึงช่วงปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความวิกฤติ วิกฤตที่ว่านั้นไม่ใช่วิกฤติการณ์ทางการเมืองธรรมดา แต่เป็นวิกฤตการณ์เรื่อง ‘อำนาจนำ’ ซึ่งใช้ครอบงำปกครองคนมาหลายทศวรรษ ที่ผ่านมาดำเนินการได้ด้วยความยินยอมพร้อมใจ ไม่ต้องบังคับ แต่อำนาจนำนี้เริ่มสูญสลายไป เพราะไม่สามารถปกครองคนด้วยความยินยอมได้อีกแล้ว แต่ต้องปกครองคนได้ด้วยการบังคับอย่างเดียว ใช้กลไกกฎหมาย ศาล ทหาร คุก ตำรวจ บังคับให้คนต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามมีโทษ ซึ่งเมื่อวิกฤตการณ์อำนาจนำเกิดขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะต้องไปแย่งชิงการสถาปนาอำนาจนำชุดใหม่เข้าไปแทนที่ เราเชื่อว่าโครงการ “อ่านเปลี่ยนโลก : Reading Revolution” จะเป็นกลไก เครื่องไม้เครื่องมือสำคัญอันหนึ่ง ที่จะทำให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน ประชาชนคนทั่วไป ได้รวมตัวกันเพื่อที่จะออกไปปฏิบัติการเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนสังคม เพื่อไปสถาปนาอำนาจนำแบบใหม่ให้กับสังคมไทย
