“ช้างศึก” ทีมชาติไทย ปรับระบบการเล่นจาก 3-5-2 เป็น 4-3-3 ดัน ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ยืนคุมกลาง และส่ง “AK9” อดิศักดิ์ ไกรษร ล่าตาข่ายดวลญี่ปุ่น ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย นัดที่ 7 เย็นวันนี้ (28 มี.ค.) เวลา 17.35 น.
วันนี้ (28 มี.ค.60) เวลา 17.35 น. แฟนลูกหนังฟุตบอลไทย เรามีนัดกันที่หน้าจอโทรทัศน์ เพราะทัพ “ช้างศึก” ไทยเตรียมจะลงสนามไซตามะ สเตเดียม เพื่อทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2018 รอบ 12 ทีมสุดท้าย นัดที่ 7 กับ “ซามูไรน้ำเงิน” ทีมชาติญี่ปุ่น โดยสถานการณ์ล่าสุดในทางทฤษฏีทีมไทยยังคงมีโอกาสเข้ารอบได้ในฐานะอันดับที่ 3 ได้หากมีแต้มใน 4 เกมที่เหลือ ขณะที่สถานการณ์อันดับโลกตอนนี้ทีมไทยรั้งอยู่ในอันดับที่ 127 ของโลก และที่ 18 ของเชีย ส่วนญี่ปุ่นอันดับที่ 51 ของโลก และที่ 3 ของเอเชีย
สำหรับก่อนเกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ไปดูสถิติความได้เปรียบเสียเปรียบของทั้ง 2 ทีมกันดีกว่า เจอกันมาแล้ว 27 นัด แม้จะอยู่ในทวีปเอเชียเหมือนกันแต่ก็ไม่บ่อยนักที่ทีมชาติไทย จะมีโอกาสได้เจอกับ แข้งจากแดนอาทิตย์อุทัย อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่บันทึกไว้หากนับทุกการแข่งขันที่ทีมไทยเคยเจอกับทีมญี่ปุ่น ไทยเคยชนะไปได้เพียงแค่ 3 ครั้ง เสมอ 6 ครั้ง ส่วนที่เหลืออีก 18 ครั้ง ญี่ปุ่น ที่เอาชนะทีมไทยไปได้ทั้งหมดและที่สำคัญ “ช้างศึก” ไม่เคยเอาชนะญี่ปุ่นได้ในเกมเยือน
ส่วนประตูสุดท้ายที่ไทยทำได้เกิดขึ้นในปี 2008 หากปลีกย่อยลงมาตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน ทีมไทยเจอกับญี่ปุ่นเพียงแค่ 3 ครั้ง ซึ่งเป็นทีมไทยที่แพ้ทั้งหมดโดยเสียไปถึง 9 ประตูและทำประตูคืน ได้เพียงแค่ 1 ลูก จากผลงานของ ”ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด (รายการฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก ครั้งนั้นแพ้ 1-4)
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สถิติการเจอกันระหว่างทีมไทยกับทีมชาติญี่ปุ่น เราเป็นรองอยู่อย่างมาก โดยตลอด 27 ครั้งที่เจอกันมาทีมไทยเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่น ได้ก็ต่อเมื่อเล่นที่ ”สนามศุภชลาศัย” ได้เพียงเท่านั้นที่เหลือแพ้รวด
ญี่ปุ่นเคยผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้ตลอด 5 ครั้งหลังสุด ผลงานดีที่สุดคือการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อปี 2002 และ 2010 ส่วน ทีมชาติไทย ยังไม่เคยผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนทีมชาติไทย เป็นทีมเดียวของรอบนี้ที่ยังไม่ชนะใครส่วนทีมชาติญี่ปุ่น มี 13 คะแนนจาก 6 นัด รั้งรองจ่าฝูงของกลุ่มบี
แม้ว่าการสถิติการเจอกันของทั้งสองทีม ทีมชาติไทย ของเราอาจจะเป็นรองทุกด้าน แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย เน้นให้ลูกทีมมีแต้มกลับบ้านเพื่อสร้างลบคำสบประมาทว่า ทีมชาติไทย ไม่ใช่ทางผ่านของใคร!
ส่วนความพร้อมของเกมที่กำลังจะเริ่ม ยังไม่มี “ตังค์” สารัช อยู่เย็น กองกลางตัวตัดเกมที่บาดเจ็บและพักยาว 6 เดือน รวมถึง “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายกัปตันทีมที่ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลือง 2 ใบ ซึ่งคาดว่า “ซิโก้” จะเปลี่ยนระบบการเล่นจาก 3-5-2 มาเป็น 4-3-3 โดยดัน “ตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ขึ้นไปเป็นตัวตัดเกมแดนกลาง และ “กอล์ฟ AK9” อดิศักดิ์ ไกรษร อาจจะมีชื่อเป็นตัวจริง
ทางด้าน วาฮิด ฮาลิฮอดซิซ กุนซือทีมชาติญี่ปุ่น หมดสิทธิ์ใช้งาน 3 แข้งคนสำคัญทั้ง ยาซูยูกิ คอนโนะ , ยูยะ โอซาโกะ และ โยจิโระ ทากาฮากิ ที่บาดเจ็บจากเกมล่าสุดจนถอนตัวไปแล้ว แต่แกนหลักรายอื่น ๆ อยู่กันครบถ้วน คาดว่า ชินจิ โอคาซากิ กองหน้าจาก เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมาเป็นตัวจริง ทำเกมรุกร่วมกับ ยูยะ คุโบะ , ชินจิ คากาวะ และ เก็งกิ ฮารากูชิ ส่วน เคซึเกะ ฮอนดะ ยังเป็นสำรองต่อไป
11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนามของทั้งสองทีม
ญี่ปุ่น (4-2-3-1) : เออิจิ คาวาชิม่า (ผู้รักษาประตู) – ฮิโรกิ ซาคาอิ, มาซาโตะ โมริชิเกะ, มายะ โยชิดะ, ยูโตะ นางาโตโมะ – เก็งกิ ฮารากูชิ , โฮตารุ ยามากูชิ – ยูยะ คุโบะ, ชินจิ คากาวะ, ฮิโรชิ คิโยตาเกะ (เคซึเกะ ฮอนดะ) – ชินจิ โอกาซากิ
ไทย (4-3-3) : กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (ผู้รักษาประตู) – ทริสตอง โด, อดิศร พรหมรักษ์, ประทุม ชูทอง, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา – ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ปกเกล้า อนันต์, ชนาธิป สรงกระสินธ์ – ธีรศิลป์ แดงดา, สิโรจน์ ฉัตรทอง (เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์), อดิศักดิ์ ไกรษร