“ครอบครัวแสนประเสริฐ” หวั่นไม่ปลอดภัยหลังหมดอายุความ 20 ปี คดีเพื่อนบ้านยิงพ่อเสียชีวิตเมื่อวานนี้ แต่ผู้ต้องหากลับลอยนวล พร้อมเผยหลักฐานเมื่อต้นปีเคยขอคัดสำเนาบันทึกประจำวันที่โรงพักเพื่อเป็นหลักฐานในการรื้อฟื้นคดี แต่ ตร.อ้างทำลายไปแล้ว ส่วนบ้านผู้ต้องหายังปิดเงียบ ขณะจำเลยที่ 1 ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาและต่อสู้คดีถูกศาลยกฟ้องออกมาเปิดใจ
(29มิ.ย.60) ความคืบหน้า หลังจากเมื่อวานนี้ 28 มิ.ย. 60 ครบกำหนดหมดอายุความ 20 ปีในคดีที่นายบัวพา พูนไธสง ตกเป็นผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิงนายมน แสนประเสริฐ เสียชีวิตในงานแต่งงานของเพื่อนบ้านในตำบลช่อผกา อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ และเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมตัวนายบัวพา ผู้ต้องหาส่งศาลได้ทันเวลาเที่ยงคืน ทางศาลก็ได้จำหน่ายคดีดังกล่าวออกจากระบบ และตามกฎหมายถือว่านายบัวพา พ้นผิด ขณะที่นายสมคิด แสนประเสริฐ บุตรชาย ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ยื่นฟ้องศาลให้ดำเนินคดีกับนายบัวพา ผู้ต้องหา ต่างรู้สึกกังวลใจเกรงว่าครอบครัวจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากหมดอายุความแล้วแต่ผู้ต้องหากลับไม่ถูกดำเนินคดี และตอนนี้ครอบครัวก็ยังไม่รู้ว่าจะสามารถทำอะไรหรือจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป เพราะที่ผ่านมาตลอด 20 ปีก็พยายามเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับพ่อที่เสียชีวิตมาโดยตลอด แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทั้งนายนายสมคิด ยังได้นำเอกสารบันทึกประจำวัน ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ตนเองเคยไปขอคัดสำเนาที่ สภ.ชำนิ ท้องที่เกิดเหตุ เพื่อขอสำนวนคดีที่พ่อถูกยิงเสียชีวิต เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการรื้อฟื้นคดี แต่ตำรวจกลับบอกว่าได้ถูกทำลายไปตามระเบียบของกฎหมายแล้ว ประกอบกับที่ผ่านมาตั้งแต่วันเกิดเหตุตนเองไม่เคยถูกเรียกเข้าให้ปากคำเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่วันเกิดเหตุตนอยู่ในเหตุการณ์และมีคน แต่พนักงานสอบสวนกลับไปสอบพยานแวดล้อมอื่นๆ จึงมองว่าการทำคดีส่อพิรุธมีเงื่อนงำ หากเป็นไปได้อยากให้ตำรวจเปิดเผยสำนวนให้ดู เพื่อความบริสุทธิ์โปร่งใสในการทำคดีของตำรวจ
ส่วนบรรยากาศที่บ้านของนายบัวพา ผู้ต้องหา หลังสิ้นสุดอายุความเมื่อวานนี้ แต่บ้านยังปิดเงียบไม่พบตัวนายบัวพา หรือคนในครอบครัว เดินทางกลับมาที่บ้านแต่อย่างใด
ขณะที่นายพนม สีสุระ ซึ่งตกเป็นจำเลยที่ 1 ที่ได้ต่อสู้คดี และศาลพิพากษายกฟ้องตั้งแต่แรก ซึ่งได้เดินทางกลับมาจากทำงานที่ต่างจังหวัด ได้ออกมาเปิดใจว่า วันเกิดเหตุ (28 มิ.ย.40) ตนไม่ได้อยู่ในงานแต่งงาน แต่นั่งดื่มเหล้าอยู่กับลูกชายคนโต ของนายมน ผู้ตาย กระทั่งได้ยินเสียงปืนจึงเดินไปดูเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น พอวันต่อมากลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาล็อคตัวที่บ้าน และถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมก่อเหตุยิงนายมน เสียชีวิต ซึ่งตนเองยืนยันว่าไม่ได้ก่อเหตุเพราะนั่งอยู่กับลูกชายคนตาย ซึ่งเป็นพยานได้ แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรถึงตกเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวดังกล่าว พร้อมเปิดเผยว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตาย เคยมีเรื่องกับนายบัวพา ผู้ต้องหาที่ 2 จริง
ซึ่งคดีดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2540 หรือเมื่อปี 2540 ที่แล้ว โดยผู้ตกเป็นผู้ต้องหา 2 คน คือ นายพนม สีสุระ จำเลยที่ 1 และนายบัวพา พูนไธสง จำเลยที่ 2 แต่นายพนม จำเลยที่ 1 ได้ต่อสู้คดีว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ กระทั่งถูกศาลยกฟ้องเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ส่วนนายบัวพา หลบหนีไปนาน ถึง 17 ปี และถูกจับกุมตัวได้ เมื่อปี 2557 ซึ่งศาลก็อนุญาตให้ประกันตัว ต่อมาอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ กระทั่งครอบครัวผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องเอง โดยศาลจังหวัดนางรอง ได้รับฟ้อง เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2560 และออกหมายจับ ก่อนหมดอายุความเพียง8 วัน ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจก็ได้ออกติดตามตัวมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถจับกุมได้ จนสิ้นสุดคดีหมดอายุความลง