เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. รวมถึงข้าราชการตำรวจ และกลุ่มเพื่อนนักกฎหมายได้เข้าร่วมงานศพ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.ป. และนางนุชนาฎ งามสุวิชชากุล ภรรยา หลังจากถูกรถเบนซ์ ของนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ ผู้ต้องหา ชนเสียชีวิตขณะเมาแล้วขับ ขณะที่ นายสมชาย ผู้ต้องหาในคดีนี้ก็ได้เดินทางมากราบศพเป็นคืนที่ 2
พล.ต.อ.วิระชัย ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการทำสำนวนผู้ต้องหาว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหา 6 ข้อหา ซึ่งมีทั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล, พยายามฆ่า, เมาแล้วขับ และขับรถประมาท เป็นสาเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
โดยการแจ้งข้อกล่าวหาทั้งฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล และเมาแล้วขับไปด้วยกัน เพราะเมื่อสำนวนถูกส่งยังอัยการพิจารณาสั่งคดี หรือถูกส่งไปในชั้นศาล ศาลย่อมสามารถที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาได้ว่า พฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ต้องหา สามารถลงโทษในสถานใดได้บ้าง ถ้าศาลพิจารณาแล้วพบว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหาเข้าข่ายที่จะเป็นเจตนาฆ่าเล็งเห็นผลได้ ศาลก็จะลงโทษจำคุกในความผิดนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึงประหารชีวิต
ส่วนถ้าศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ต้องหาเป็นการกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โทษจำคุกสิบปี ดังนั้นหากว่า เรา ไม่แจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเล็งเห็นคู่กันไปด้วย ถ้าศาลเห็นว่าพฤติกรรมเป็นเจตนาฆ่าเล็งเห็นผล ก็จะไม่สามารถลงโทษได้ หลังจากนี้พนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ รวมถึงพยานแวดล้อม เพื่อสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการฟ้องต่อศาล ส่วนพนักงานอัยการ หรือศาล จะมีความเห็นอย่างไรนั้น เป็นดุลพินิจ แต่จะดำเนินการโดยเร็วที่สุดและไม่ให้เกิน 3 เดือนภายในเวลาฝากขัง 84 วัน ที่จะควบคุมตัวผู้ต้องหาตามกฎหมาย
พล.ต.อ.วิระชัย ยังกล่าวอีกว่า หลังจากนี้เราก็ยังมีแนวทางที่จะปรึกษากับทางสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อจะเสนอแก้ไขอัตราโทษเมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายต่อไป