วิ่งแล้วจุก ทำไงดี? น่าจะเป็นปัญหาที่ใครหลายๆ คนเป็น การออกกำลังกายก็เพื่อเสริมแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งการวิ่งนับว่าเป็นการออกกำลังกายที่หลายคนเลือก แต่หลายครั้งที่เมื่อวิ่งไปแล้วพบว่ามีอาการจุกเกิดขึ้น แล้วทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายต่อได้ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่รบกวนการออกกำลังกายสุดๆ วันนี้ Bright TV เลยจะมาแชร์ความรู้ว่าอาการ วิ่งแล้วจุก หรือ ออกกำลังกายแล้วจุก เกิดจากอะไรและมีวิธีหลีกเลี่ยงยังไง ต้องทำตามยังไงบ้าง มาดูเลย
วิ่งแล้วจุก เกิดจากอะไร?
อาการวิ่งแล้วจุกนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย และพบว่านักวิ่งมือใหม่ที่เริ่มวิ่งระยะ 5 กม. จะเกิดอาการจุกมากกว่านักวิ่งที่วิ่งมานานแล้ว เนื่องจากเมื่อเราวิ่งความดันในท้องจะเพิ่มขึ้น ทำให้ดันที่กะบังลม และเมื่อเราหายใจเร็วๆ อาจทำให้ปอดและกะบังลมบีบมากระทบกัน ทำให้เราเกิดอาการจุกเสียดที่กะบังลมนั่นเอง
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการจุก
- ไม่ได้วอร์มก่อนวิ่ง
ก่อนการออกกำลังกายทุกชนิดจะต้องมีการยืดเส้นยืดสายหรือวอร์มอัพร่างกายก่อนทุกครั้ง สำหรับการวิ่งก็เช่นกัน ซึ่งหากไม่ได้วอร์มร่างกายก่อนออกวิ่ง โดยเฉพาะการวิ่งระยะทางไกลอาจทำให้เกิดอาการจุกได้ง่าย
- กินมื้อใหญ่ก่อนวิ่ง
ก่อนวิ่ง หากกินอาหารมื้อใหญ่ หรือกินอิ่มมากๆ จะทำให้เกิดอาการวิ่งแล้วจุกได้ เนื่องจากหลังการกินอาหาร กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายกำลังทำงานหนักเพื่อย่อยอาหารที่กินเข้าไป ดังนั้นหากวิ่งหลังกินอาหารมาใหม่ๆ ร่างกายก็จะทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการจุกได้
- วิ่งด้วยท่าที่ไม่ถูกต้อง
ท่าวิ่งที่ถูกต้อง คือ หลัง ไหล่ยืดตรง ไม่งอ ซึ่งท่าดังกล่าวนี้จะทำให้ระบบการหายใจเข้า หายใจออก สามารถนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเพียงพอ แต่หากวิ่งด้วยท่าที่ไม่ถูกต้องแล้ว ปริมาณออกซิเจนที่ได้รับเข้าสู่ร่างกายจะไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดกรดแลกติกได้ง่าย ซึ่งหากมีกรดแลกติกมากก็จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดความเมื่อยล้าและจุกเสียดได้นั่นเอง
- เกิดตะคริวที่กล้ามเนื้อท้อง
อาการจุกที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากอาการตะคริวที่บริเวณกล้ามเนื้อท้องได้เช่นกัน ซึ่งสาเหตุของตะคริวยังไม่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร แต่มีสมมติฐานว่าน่าจะเกิดจากภาวะขาดออกซิเจนของกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วิ่งแล้วมีอาการจุกเกิดขึ้นที่บริเวณท้องหรือท้องน้อยที่พบได้ในนักวิ่งส่วนมาก
วิธีการป้องกัน
1. งดกินอาหารก่อนวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งช้าหรือวิ่งเร็ว ไม่ควรกินอาหารแล้วไปวิ่งทันที โดย ควรกินก่อนวิ่งอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อที่บริเวณท้องหรือท้องน้อยได้พักจากการย่อยอาหารและไม่ควรดื่มน้ำที่มีแก๊สในปริมาณสูงก่อนการวิ่ง เพราะแก๊สจะเข้าไปทำให้เกิดความดันภายในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการจุกได้เช่นกัน หรือถ้าหากหิวน้ำควรดื่มน้ำเปล่าในปริมาณไม่มากก่อนออกวิ่ง ก็จะช่วยป้องกันอาการจุกได้
2. วอร์มอัพร่างกายก่อนวิ่ง ควรมีการวอร์มร่างกายเพื่อยืดกล้ามเนื้อให้มีความผ่อนคลาย และพร้อมใช้งานก่อนที่จะออกวิ่ง ไม่เพียงแค่ช่วยสร้างความพร้อมให้แก่กล้ามเนื้อเท่านั้น ยังช่วยให้ระบบหายใจและหัวใจพร้อมสำหรับการออกกำลังกายอีกด้วย และเมื่อออกวิ่งควรเริ่มจากเดินช้าๆ หรือวิ่งเหยาะๆ ก่อน แล้วจึงค่อยวิ่งในความเร็วปกติ ไม่ควรวิ่งด้วยความเร็วสูงทันทีที่เริ่มวิ่ง
3. ไม่ควรหยุดวิ่งในทันที หลังจากที่วิ่งเสร็จแล้ว เราไม่ควรหยุดในทันที แต่ให้ค่อยๆ ชะลอความเร็วในการวิ่งจนกลายเป็นเดิน และเดินต่อไปจนระดับการหายใจเข้าสู่สภาวะปกติจึงหยุดเดินในที่สุด เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อที่ต้องหยุดทำงานแบบกระทันหันนั่นเองค่ะ
4. ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง สำหรับผู้ที่เกิดอาการจุกในขณะวิ่ง ทั้งที่มีการเตรียมตัวก่อนวิ่งมาเป็นอย่างดี แสดงว่าอาการจุกที่เกิดขึ้นอาจมีสาเหตุมาจากตะคริวที่ท้อง ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหน้าท้องให้มากขึ้น
หรือถ้าหากว่าใครที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย วันไหนไม่ว่าง หรือทานมื้อหนักมาไม่ได้ออกกำลังกายต้องมีตัวช่วยอาหารเสริม ที่ถึงแม้จะไม่ได้ออกกำลังกายก็ช่วยให้เราผอมได้!
แหล่งที่มา fitmesport
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่นๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY