ท้องอืด แน่นท้อง เรอบ่อยๆ เวลาถ่ายอุจจาระมักมีลมออกมา เป็นสัญญาเตือน โรคไอบีเอส หรือ ลำไส้แปรปรวน (IBS) มักเป็นนานเกิน 3 เดือน ในช่วง 1 ปี
หลายคนที่เห็น ก็อาจจะคิดว่าเธอคนนี้นั้น ท้อง จากกรณีของภาพล่าสุดของ แหวนแหวน ปวริศา ที่เจ้าตัวโพสต์รูปภาพบริเวณท้องที่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่งานนี้เจ้าตัวแจงว่า “อย่าเพิ่งแสดงความยินดี” เพราะที่ท้องป่องแบบนี้ ไม่ได้ท้องจ้า! แต่น่าจะเป็นอาการจากโรค IBS (Irritable Bowel Syndrome) ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โดยเฉาะระบบลำไส้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรคลำไส้แปรปรวน
ดังนั้นวันนี้ BRIGHT TODAY ขอพาทุกคนทำความรู้จักกับ โรคไอบีเอส หรือ ลำไส้แปรปรวน (IBS) ซึ่งโรคนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำไส้ โดยที่ไม่พบความผิดปกติอะไรที่โครงสร้างของอวัยวะในระบบทางเดินอาหารและไม่มีพยาธิสภาพอื่นใด อีกทั้งอาการต่างๆที่แสดงออกมานั้น เราอาจจะไม่ได้สังเกตมัน หรือมองข้ามมันไป
อาการของโรคไอบีเอส หรือ ลำไส้แปรปรวน (IBS)
- เป็นโรคเรื้อรังเป็นๆ หายๆ มักทรมานจากการปวดท้อง ซึ่งเมื่อได้ถ่ายอุจจาระจะรู้สึกหายปวดและสบายขึ้น
- ส่วนใหญ่มักปวดที่ท้องน้อย ลักษณะปวดเกร็ง หลายคนสังเกตพบว่าอาการปวดจะดีขึ้นหลังถ่ายอุจจาระ
- ผู้ป่วยอาจรู้สึกถ่ายอุจจาระไม่ค่อยสุด ท้องผูก หรืออาจมีมูกปนออกมาเวลาถ่ายอุจจาระ ลักษณะอุจจาระจะเปลี่ยนไปเป็นก้อนแข็งหรือเหลวจนเป็นน้ำ ถ่ายเป็นมูกปนอุจจาระมากขึ้น
- อาการท้องอืด แน่นท้อง ผู้ป่วยจะมีอาการท้องอืด มีลมมากในท้อง เรอบ่อย ๆ เวลาถ่ายอุจจาระมักมีลมออกมาด้วย
- อาการต่าง ๆ เหล่านี้มักเป็นนานเกิน 3 เดือน ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักมีประวัติมานานหลายปี
โรคไอบีเอสไม่ใช่โรคมะเร็งและจะไม่กลายเป็นมะเร็ง แม้จะมีประวัติเป็น ๆ หาย ๆ มานาน ยิ่งผู้ป่วยมีอาการเป็นปี ๆ โอกาสเป็นมะเร็งยิ่งน้อยมาก และโรคนี้ไม่เป็นสาเหตุของโรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease) ซึ่งไม่ค่อยพบในคนไทย แต่พบได้บ่อยและเป็นปัญหาสำคัญของชาวตะวันตก
ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพ
สาเหตุของโรค
- การบีบตัวหรือการเคลื่อนตัวของลำไส้ผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนบางอย่างในผนังลำไส้ผิดปกติ นำไปสู่อาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก
- ระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นมากผิดปกติ เช่น หลังกินอาหาร ซึ่งในคนปกติจะกระตุ้นให้ลำไส้มีการบีบตัวหรือเคลื่อนตัวเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ในผู้ป่วยไอบีเอส จะมีการตอบสนองมากผิดปกติ มีการบีบตัวและการเคลื่อนตัวของลำไส้มากขึ้น จนมีอาการปวดท้องและท้องเสีย หรือท้องผูก เป็นต้น นอกจากอาหารแล้วตัวกระตุ้นอื่นที่สำคัญ คือ ความเครียด หรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ก็มีส่วนเสริมให้มีอาการมากขึ้น
- มีความผิดปกติในการควบคุมการทำงานของแกนที่เชื่อมโยงระหว่างประสาทรับความรู้สึก ระบบกล้ามเนื้อของลำไส้และสมอง (Brain – Gut Axis) โดยเกิดจากความผิดปกติของสารที่ควบคุมการทำงานซึ่งมีหลายชนิดและทำหน้าที่แตกต่างกัน
คำแนะนำและข้อควรปฎิบัติ สำหรับผู้ที่เป็นโรค IBS
- รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า และสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นอาการ ได้แก่ อาหารมัน กาแฟ น้ำอัดลม และอาหารรสจัดทุกประเภท
- ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงภาวะเครียด และควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- พบแพทย์และตรวจเช็คร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
ขอบคุณข้อมูล – โรงพยาบาลกรุงเทพ / โรงพยาบาลสินแพทย์