เนื้อสัตว์มี “พยาธิ” สังเกตอย่างไร
ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมีกระแสข่าวครึกโครมเกี่ยวกับการใช้บริการร้านอาหารแล้วเจอเนื้อสัตว์มีลักษณะแปลก ๆ อีกทั้งยังสร้างความไม่แน่ใจให้กับสังคมอยู่ว่าสิ่งที่ผิดปกติบนเนื้อสัตว์ชิ้นดังกล่าวนั้นใช้พยาธิหรือไม่ วันนี้ทางเราจึงมีวิธีสังเกตพยาธิในเนื้อสัตว์มาฝากเพื่อให้หลาย ๆ คนได้สังเกตก่อนทานอาหาร ช่วยป้องกันการทานอาหารที่มีสิ่งปลอมปนไปได้ในเบื้องต้น
พยาธิตัวตืด
ลักษณะของพยาธิตัวตืดหากพบบนเนื้อจะสามารถพบได้ทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมู ซึ่งมักพบในลักษณะของไข่พยาธิ เป็นรูปทรงกลมสีขาวเหลือง คล้ายถุงน้ำใส ๆ และเม็ดเล็กเท่ากับขนาดของสาคู ภายในจะมีหัวพยาธิอยู่และกระจายอยู่ทั่วเนื้อ หากรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีพยาธิตัวตืดเข้าไปจะทำให้ท้องอืด ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และอาจซีดจากภาวะโลหิตจาง โดยอาการจะแสดงเมื่อพยาธิโตเต็มวัยแล้ว
พยาธิไส้เดือน
พบมาในฟาร์มสุกร เกิดจากหมูที่ทานอาหารปนเปื้อนอุจจาระและมีไข่ของพยาธิอยู่ จากนั้นพยาธิจะเข้าสู่ร่างกายหมูและเจริญไปตามลำไส้ ปอด และอวัยวะภายในอื่นๆ ของหมู ลักษณะของพยาธิเป็นเส้นเรียว สีขาวแดงและมักอยู่ในเครื่องในหมู บางครั้งคนทานอาจสับสนว่าเป็นเส้นเลือดหมู วิธีสังเกตคือที่ตับหมูจะมีลักษณะเป็นจุดเลือดออก เหมือนมีเม็ดเลือดขาวมารวมกัน นั่นเองที่เป็นระยะของตัวอ่อนเคลื่อนตัวผ่านตับ ทำให้เกิดรอยโรคที่เรียกว่า “milk spot” ซึ่งจะเกิดหลังจากที่หมูติดพยาธิ 10-14 วัน แต่ถ้าหากไม่มีการติดพยาธิซ้ำ รอย milk spot นี้จะหายไปเอง และถ้าหากมีการติดพยาธิซ้ำ จะพบรอย milk spot ที่ตับด้วย อาการของผู้ที่ทานเนื้อหมูติดพยาธิไส้เดือนคือแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ มีไข้ อาจเกิดอาการท้องใหญ่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ขาดสารอาหาร หากมีพยาธิจำนวนมาก อาจกระจุกรวมตัวเป็นก้อนและทำให้ลำไส้อุดตันได้
พยาธิตัวกลมไทรชิเนลลา สไปเรลีส
อาจพบได้ในเนื้อสัตว์ทั้งสัตว์เลี้ยง และสัตว์ป่า เช่น หมู หนู หมี ทั้งยังสามารถพบได้ในแหนม สามารถมีชีวิตอยู่ในแหนมได้นาน 8 วัน มีลักษณะตัวกลมขนาดเล็ก มักสังเกตไม่เห็น ตรวจพบได้โดยการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจในห้องปฏิบัติการ อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของสัตว์หรือคนที่เป็นโรค หากเกิดการผสมพันธุ์ ตัวเมียจะปล่อยตัวอ่อนออกมา เเละมันจะเดินทางเข้าไปอยู่ในกล้ามเนื้อลาย เช่น กล้ามเนื้อเเถวน่อง ลิ้น กระบังลม อาการของคนที่ทานเนื้อติดพยาธิคือท้องร่วง ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย หลังทานเข้าไป 1-7 วัน และหลังจากสัปดาห์เเรกผ่านไป ผู้ป่วยจะมีไข้สูง หน้าบวม หนังตาบวม เยื่อบุตาอักเสบเเละมีเลือดออกใต้หนังตา ตาพร่า อ่อนเพลียมาก ปวดกล้ามเนื้อเเละกดเจ็บ เเขนและขาเคลื่อนไหวลำบาก การพูด หายใจ กลืน เเละเคี้ยวอาหารทำได้ลำบาก อาจมีอาการเเทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ รุนแรงที่สุดคือเสียชีวิต หลังจากสัปดาห์ที่ 5 หรือ 6 ไข้จะเริ่มลดลง อาการปวดกล้ามเนื้อลดลง พูดได้ดีขึ้น อาการต่าง ๆ จะลดลงจนเป็นปกติ
ทั้งนี้วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการทานอาหารปรุงสุดและสะอาด หลีกเลี่ยงการทานอาหารสุกดิบ เช่น อาหารสด อาหารปิ้งย่าง เพื่อฆ่าเชื้อโรคและพยาธิไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย และก่อให้เกิดโรคได้