หลายคนเป็นห่วงสำหรับนักร้องขาร็อก “เสก โลโซ” หรือ เสกสรรค์ ศุขพิมาย ที่ไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊ก “SEK LOSO” ตลอดทั้งวันทั้งคืน ติดต่อกันรวมกว่า4วัน ในแต่ละช่วงจะมีหัวข้อในการพูดคุยหลากหลาย ทั้งทานอาหารโชว์ โปรโมทสินค้า รวมไปถึงพูดพาดพิงบุคคลที่ 3 แต่ก็ยังมีบรรดาคนดูเข้าไปดูอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด คนใกล้ชิดของเสก โลโซ ไม่ว่าจะเป็นอดีตภรรยา อดีตคนในวงการดนตรี ต่างออกมาแสดงความเป็นห่วง ว่า เสก ควรต้องเข้ารับการรักษาอาการป่วยที่เรียกว่า ไบโพล่า
ล่าสุด กานต์ วิภากร” อดีตภรรยา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เนื่องจากรู้สึกกังวลกับอาการของ “เสก” สรุปคร่าวๆว่า จากการวิเคราะห์ ตอนนี้ไม่ใช่ตัวตนของเค้า มันเป็นแค่โรคทางจิต ไบโพล่า,ซึมเศร้า,โรคหลงตัวเอง ซึ่งอันตรายมากๆแต่สามารถรักษาได้โดยการพบจิตแพทย์ตามนัด หมอจะค่อยๆปรับยาตามอาการ ถ้ารู้สึกว่าหนัก หมอจะนัดถี่และสั่งยาเพิ่ม ถ้ารู้สึกว่าดีขึ้น หมอก็จะลดยา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ป่วยต้องมีวินัยในการกินยาและพบแพทย์เพื่อพูดคุย
คุณกานต์ ยังบอกว่า วอนเพื่อนๆ อย่าเข้าไปดูและวิพากษ์วิจารณ์ให้น้อยลงรวมถึงสื่อมวลชน อย่ามองเสกเป็นตัวตลกในโซเชี่ยล สงสารลูกๆ คนป่วยต้องได้รับการรักษา และเอ็ฟเฟ็คของโรคนี้คือ มีเปอร์เซ็นต์ในการฆ่าตัวตายค่อนข้างสูง ขอความเห็นใจด้วย เพื่อลูกๆกานต์จะได้ไม่เสียใจ
ทีมข่าวก็ได้สัมภาษณ์คุณกานต์ ก็ตอกย้ำกับสิ่งที่เสกกำลังเป็นอยู่ เปิดใจกับทีมข่าว ว่า ก่อนหน้านี้ เสก ก็ปกติ ไม่มีอาการอะไร เนื่องจากเข้ารับการรักษา แต่หลังๆมา ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน จะมีก็คุยเรื่องภายในครอบครัวบ้าง แต่ก็คุยไม่บ่อย อยากจะฝากไปถึงญาติของเสก ขอให้พาเสกไปรักษาให้ถูกต้อง เพราะที่ผ่านมา เสก ก็ช่วยเหลือญาติพี่น้องไปเยอะ ที่ผ่านมาตนเองก็ช่วยเสกไปมาก อีกทั้งแฟนคลับเสก ก็บอกให้ตนเองอย่าทิ้ง เสก อยากขอวอนให้ครอบครัวพาเสกไปรักษาด้วย
สำหรับอาการที่เสกกำลังเป็นอยู่ ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์เคยเป็นโรคนี้มา อย่างคุณ จิตตินันทน์ บุษบรรณ ที่เคยป่วยเป็นโรคไพโบล่า แต่ก็หายดีแล้ว และยังได้ศึกษาอาการของโรคนี้ จนสามารถให้คำปรึกษาผู้ที่เป็นโรคนี้ได้บอกได้อย่างชัดเจนว่า อาการลักษณะนี้ เรียกว่า เสก อยู่ในอาการของโรค ไบโพล่า เรียกว่า ระยะเมเนีย(mania) คือ จะมีอาการอารมณ์เปลี่ยนแปลง ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ร่าเริงมีความสุข เบิกบานใจ หรือหงุดหงิดง่าย มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เชื่อว่าตนเองสำคัญและยิ่งใหญ่ อาการเหล่านี้ ล้วนแต่เกิดกับตัวคุณเสกทั้งสิ้น หากไม่ได้รับการรักษา ปล่อยไปนานๆ อาการจะรุนแรงมากขึ้น และถ้าเข้ารับการรักษาแต่ไม่ต่อเนื่อง ไม่นานโรคจะกลับมาใหม่
อย่างไรก็ตาม มีพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาคุ้มครองผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตให้ได้รับการบำบัดรักษา รวมทั้งเป็นการป้องกันอันตรายอันเกิดจากผู้ป่วยจิตเวชที่มีตนเอง ผู้อื่นและสังคม ซึ่งพรระราชบัญญัตินี้ นี้ให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ปกครอง กรณีพบเห็นผู้ป่วยจิตเวช ที่มีพฤติกรรมที่น่าจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น หรืออันตรายต่อตัวเอง สามารถใช้อำนาจตามพรบ.นี้ พาไปหาหมอได้เลย
มาตรา 23ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต คือมีภาวะอันตรายหรือ มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือตำรวจโดยเร็ว
มาตรา24 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้ง หรือพบบุคคลน่าเชื่อว่าบุคคลมีความผิดปกติทางจิต ให้ดำเนินการนำตัวผู้นั้นไปยังสถานพยาบาล เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยการนำตัวบุคคลดังกล่าวไปสถานพยาบาล จะไม่สามารถผูกมัดร่างกายของบุคลนั้นได้ เว้นแต่ความจำเป็นเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อบุคคลนั้นเอง บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น
มาตรา25ผู้รับผิดชอบดูแลสถานคุมขัง สถานสงเคราะห์ พนักงานคุมประพฤติ ถ้าพบบุคคลที่อยู่ในความดูแลมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต ให้ส่งตัวบุคคลผู้นั้นไปสถานพยาบาลโดยเร็ว