ความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบวางระเบิดตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพสาขา ห้างโลตัสย่านกรุงเทพกรีทา โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้แล้ว เป็นผู้ต้องหาชาวโปแลนด์ ซึ่งผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ ล่าสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งโต๊ะแถลงผลการจับกุม โดยระบุว่า พฤติกรรมการก่อเหตุโดยการใช้แก๊สระเบิดตู้เอทีเอ็ม ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ยืนยันว่า จากพยานหลักฐานที่มี สามารถเอาผิดได้แน่นอน แม้ว่า ผู้ต้องหาจะปฎิเสธ
การแถลงผลการจับกุม มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นำโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายตำรวจอีกหลายนาย ร่วมแถลงผลการจับกุม นายพาเวล สแตนิช เซวสกี้ สัญชาติโปแลนด์ ผู้ต้องหาวางระเบิดตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ หน้าห้างโลตัส สาขา กรุงเทพกรีฑา ได้เงินสดไปกว่า 3 แสนบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่นำของกลาง เป็นหมวกกันน็อค เสื้อคลุมแขนยาว พลั่วตักดิน และวัตถุประกอบในการทำเป็นระเบิด มาวางโชว์ โดยจับได้เมื่อช่วงค่ำวานนี้ ย่านซอยรามคำแหง 50
สำหรับการสืบสวน พลตำรวจเอกจักรทิพย์ บอกว่า จากการสอบถามพยานที่เห็นเหตุการณ์ให้การว่า ได้ยินเสียงระเบิด จึงลุกออกมาดูและเห็นผู้ต้องสงสัยขี่จักรยานยนต์ สีดำ หลบหนีไปยังถนนศรีนครินทร์ หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่ามีกลิ่นแก๊ซหุงต้มฟุ้งกระจายอยู่ตรงจุดเกิดเหตุ ก็พบว่ามีแก๊ซหุงต้มตรงร้านอาหารถูกเปิดอยู่ จากนั้นได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหาเส้นทางหลบหนีของคนร้าย จนมาถึงท้ายซอยกรุงเทพกรีฑา 15/1 ก็พบว่าคนร้ายหายไป
ต่อมา เจ้าหน้าที่เจอเบาะแสสำคัญ ที่ท้ายซอยกรุงเทพกรีทา 15/1 มีบ่อน้ำ พบเศษเทปสีดำ 2 ชิ้น จึงได้ประสานนักประดาน้ำลงตรวจสอบในบ่อน้ำ พบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ จึงนำขึ้นมาตรวจสอบ ก็พบหลักฐานสำคัญหลายอย่าง ทั้งหมวกกันน๊อค ถุงมือ เทปสีดำ คาดว่าน่าจะเป็นของคนร้าย นอกจากนี้ จากการตรวจสอบขนมปังยี่ห้อหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋าเป้ 3 ห่อ ทราบว่าเป็นขนมปังมีขายเฉพาะร้านเซเว่นอีเลเว่น เท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบร้านเซเว่น อีเลฟเว่น พื้นทีใกล้เคียงว่า มีการขายให้กับลูกค้ารายใดบ้าง จนไปพบว่า ร้านเซเว่น แถวซอยกรุงเทพกรีฑา 7 ขายขนมปังยี่ห้อดังกล่าว 3 ชิ้น เมื่อวันที่ 11 กันยายน
เมื่อทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ร้านสะดวกซื้อดังกล่าว พบว่า ผู้ซื้อเป็นชายชาวต่างชาติรูปร่างใหญ่ สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงลายสก๊อตสีมาซื้อขนมปัง ขี่จักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าคลิกสีขาว เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้ มีอะไรเชื่อมโยงกับหลักฐานที่เจอก่อนหน้านี้หรือไม่ จนพบว่ากางเกงที่ชายชาวต่างชาติคนที่เข้าไปซื้อขนมปัง ตรงกับกางเกงที่ตรวจยึดได้จากที่บ่อน้ำก่อนหน้านี้ จากนั้น เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดมาถึงซอยรามคำแหง 50 พบว่าคนร้ายหายไป เจ้าหน้าที่จึงเข้าสอบถามบุคคลที่พักอาศัยอยู่ภายในซอยรามคำแหง 50 ซึ่งมีพลเมืองดี ให้การว่า เคยพบเห็นบุคคลตามภาพกล้องวงจรปิด จนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ในที่สุด
ผบ.ตร.ยังบอกอีกว่า เหตุการณ์ในลักษณะนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยได้ระดมกำลังจากหลายหน่วยทำงานร่วมกัน การสืบสวนใช้ทั้งวิธีวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการติดตามตัว จนสามารถจับคนร้ายได้ จากการสืบสวนพบว่าหลังก่อเหตุ นายพาเวล ก็ไปรับภรรยาชาวกัมพูชา เดินทางไปประเทศมาเลเซียด้วยกัน คาดเป็นการพาภรรยาหลบหนีไปก่อน ก่อนจะวกกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง มีการซื้ออุปกรณ์ในการทำระเบิดเพิ่มเติมมาจากมาเลเซีย ซึ่งพบในห้องพักในวันที่เข้าจับกุม คาดว่าเตรียมก่อเหตุซ้ำอีกที่อาจก่อเหตุได้อีก 2-3 ครั้ง ตอนนี้ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ขอพบแต่เจ้าหน้าที่ทูต ซึ่งได้ดำเนินการแล้ว อย่างไรก็ตาม ขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงภรรยาของผู้ต้องหาด้วยว่า รู้เห็นการก่อเหตุนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด ผู้ต้องหาก็รับสารภาพออกมาแล้ว เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาโดย พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 ที่เข้าร่วมสอบปากคำ นายพาเวล ด้วย บอกว่า จากการที่เจ้าหน้าที่จากสถานทูตโปแลนด์ มาร่วมพูดคุยกับ นายพาเวล สภาพจิตใจนายพาเวล ก็เริ่มดีขึ้น โดยยอมรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุขึ้นเป็นครั้งแรกที่ทำเพื่อต้องการนำเงินไปใช้โดยศึกษาวิธีการก่อเหตุมาจากสื่อสังคมออนไลน์ จากการตรวจสอบ นายกราคยาน พาเวล สแตนิช เซวสกี้ เรียนจบเกี่ยวกับช่างเครื่องยนต์ได้เข้ามาท่องเที่ยวธรรมดาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมปี 2560
สำหรับในวันพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัว นายพาเวล ไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ก่อนจะนำตัวส่งศาลจังหวัดมีนบุรีเพื่อฝากขังต่อไป อย่างไรก็ตามจะต้องดูสิทธิของผู้ต้องหาว่ายินยอมไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพหรือไม่