ประชาธิปัตย์ – วันที่ 25 กันยายน 2563 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีการพิจารณาเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวานนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันมาโดยตลอดถึงหลักการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 256 รวมถึงการให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) อีกทั้งยังมีการขับเคลื่อนผลักดันจนรัฐบาลได้บรรจุไว้ในนโยบายเร่งด่วน ซึ่งส.ส. ของพรรคฯ ก็ได้ร่วมเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาหาแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในชุดที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคเป็นประธาน จนมีการดำเนินการแล้วเสร็จและยื่นรายงานเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพรรคฯ จึงไม่หวั่นไหวกับคำกล่าวหา ที่ว่าประชาธิปัตย์ไม่มีจุดยืนในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพราะไม่เป็นความจริง พรรคฯ ต่อสู้เรื่องนี้มาโดยตลอด
ราเมศ รัตนะเชวง เผย ที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ ถก แก้รัฐธรรมนูญ
ประชาธิปัตย์ ส่ง ชินวรณ์ เป็นตัวแทนหารือประชุมร่วมวิป 3 ฝ่าย ดันแก้ไข รธน.
ทั้งนี้นายราเมศ กล่าวอีกด้วยว่า จากเหตุการณ์วานนี้ที่มี ส.ส. คนหนึ่งเสนอญัตติให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญก่อนรับหลักการนั้น พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจนว่า พรรคฯ ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญก่อนรับหลักการเหมือนที่เกิดขึ้น มีการบอกล่วงหน้าให้พรรคฯ ได้ทราบไม่ถึงชั่วโมง และทันทีที่ทราบ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ พร้อมด้วยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส. ของพรรคฯ จึงได้เรียกประชุม ส.ส. ของพรรคฯ ที่ห้อง 210 เพื่อกำหนดท่าทีของพรรคฯ
ราเมศ โฆษกประชาธิปัตย์ ซัด ปิยบุตร แก้ รธน. หมวด1 – 2 เพื่ออะไร?
“ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ทั้งๆ ที่กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญควรที่จะได้เดินไปตามครรลอง เหตุผลที่ผมบอกอย่างนั้น เพราะเราได้ศึกษาเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมาเยอะ ชุดของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ศึกษามาแล้วหลายเดือน เพราะฉะนั้นถ้าจะบอกว่าตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญก่อนรับหลักการนั้น ผมก็อยากตั้งคำถามเหมือนกันว่า การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องใดอีก คนที่เสนอให้ตั้งและคนที่เห็นด้วยจะต้องตอบคำถามให้ชัดด้วย” นายราเมศกล่าว
นอกจากนี้ต่อคำถามว่า ในเมื่อประชาธิปัตย์ลุกขึ้นอภิปรายในที่ประชุมว่าไม่เห็นด้วยกับญัตติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญก่อนรับหลักการ แต่เหตุใดจึงต้องส่ง ส.ส. ไปเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ นายราเมศกล่าวว่า พรรคฯ มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งบุคคลเข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ด้วย เพราะพรรคฯ ได้ยืนยันเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 256 และการตั้ง สสร. รวมไปถึงอีกหลายประเด็น เช่น เรื่องสิทธิ เสรีภาพ สิทธิกระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชน และอีกหลายมาตรา รวมถึงการตรวจสอบการทุจริต ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่พรรคฯ เตรียมไว้สำหรับการพูดคุยใน สสร. ดังนั้นพรรคฯ จึงจำเป็นต้องส่ง ส.ส. เข้าร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ตั้งขึ้นมาก่อนรับหลักการชุดนี้ด้วย เพื่อเป็นการควบคุมในประเด็นที่พรรคฯ พยายามนำเสนอ
“ถ้าเกิดประชาธิปัตย์เราไม่ส่ง เราจะไปควบคุมประเด็นได้อย่างไร เราต้องตามกลับไปเพื่อที่จะควบคุมประเด็นว่า ประชาธิปัตย์มีจุดยืนที่ชัดเจนในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตราที่เราได้ยื่นญัตติไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นที่จะต้องไปดูในรายละเอียด ควบคุมให้อยู่ในหลักการของพรรคฯ ว่า เรายืนยันอย่างหนักแน่นในการที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีกรอบระยะเวลา 30 วัน ผมก็เรียกร้องว่า อย่าขยายกรอบระยะเวลาของคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าว เพราะปิดสมัยประชุมครั้งนี้ 2 เดือน ฉะนั้นมีเวลา 2 เดือนที่จะเตรียมการให้พร้อม เมื่อเปิดสมัยประชุมมา ก็ต้องเข้าสู่โหมดวาระรับหลักการว่า จะรับหรือไม่รับในวาระที่ 1 แม้ตอนนี้จะตอบไม่ได้ว่าสมาชิกรัฐสภาจะเห็นพ้องไปในทิศทางใด แต่ผมตอบได้ในฐานะที่ผมเป็นโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ว่าเรายืนยันเปิดรับหลักการในสมัยประชุมหน้า วาระแรกในเรื่องรับหลักการ ประชาธิปัตย์จะรับหลักการที่เราได้เสนอต่อรัฐสภา คือแก้ไขมาตรา 256 และให้มี สสร.” นายราเมศกล่าว
สำหรับคำถามที่มีต่อการที่มี ส.ส. ของพรรคจำนวน 2 คน เห็นด้วยนั้น นายราเมศกล่าวว่า ขอให้ทั้ง 2 ท่านได้ตอบคำถามนี้เองถึงเหตุผลในการเห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ