ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ชื่อของนาง แน่งน้อย อัศวกิตติกร ได้ปรากฏตามสื่อต่างๆ หลังจากที่โลกโซเชียลได้ออกมาเปิดเผยว่านางแน่งน้อยได้รับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มที่ 3 ทั้งๆที่เธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่ด่านหน้า โดยนางแน่งน้อยได้ไปฉีดวัคซีน ที่ศูนย์รับฉีดวัคซีน หอประชุมศรีวชิรโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2564 ที่ผ่านมา หลังจากนางแน่งน้อยพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน นำข้าวกล่องไปให้เจ้าหน้าที่ ก่อนอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ ขอฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19 เป็นเข็มที่ 3 ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ จำใจยอมฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ไป
เจ้าหน้าที่พิษณุโลกแฉเอง! วีไอพีพาบุคคลปริศนา 2 คน ไปฉีดเข็มที่ 3 ทั้งที่ไม่ใช่ด่านหน้า?
พฤติกรรมดังกล่าวของนางแน่งน้องถูกโลกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าไม่เหมาะสม และเป็นการใช้อภิสิทธิ์ เนื่องจากในเวลานี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดแม้แต่วัคซีนเข็มแรก อย่างไรก็ดี นางแน่งน่อยได้เปิดเผยสาเหตุที่ตนต้องไปรับวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นเพราะตนทำงานด่านหน้า นำสิ่งของต่าง ๆ ไปบริจาคให้ประชาชนมาตลอด อีกทั้งตนมีคิวฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนกาอยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ มีปัญหาเรื่องคนฉีดวัคซีนน้อย จึงทำให้ตนไปฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ซึ่งนางแน่งน้อยยังเปิดเผยด้วยว่าเตรียมฟ้องกลับบรรดาชาวเน็ต เพจ และสำนักข่าวต่างๆที่รายงานข่าวว่าเธอใช้เส้นสายเพื่อฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนประวัติของนางแน่งน้อย อัศวกิตติกร ถือเป็นผู้ที่มีความเคลื่อนไหวทางการเมือง และมีบทบาทในการปกป้องสถาบันมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันนี้ เธอมีตำแหน่งเป็นเลขาฯกปปส. พิษณุโลก อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นประธาน ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์หรือ ศชอ. ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายกับผู้ที่ถูกล่วงละเมิดสิทธิ ถูกระราน ถูกคุกคาม โดนกลั่นแกล้ง โดนหมิ่นประมาทจากผู้อื่นผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์
ศปปส. ยื่นหนังสือจี้ กองทัพปกป้องสถาบัน หลังม็อบ 7 สิงหานัดชุมนุม หน้าพระบรมมหาราชวัง
นอกจากนี้ นางแน่งน้อยยังเคยแจ้งความคดีม.122 กับเยาวชนและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยหลายราย ทั้งน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน จากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในผู้ที่ถูกนางแน่งน้อยแจ้งความในคดีม.112 เป็นเด็กหญิงวัยเพียง 14 ปี ในจ.พิษณุโลก โดยในเวลานั้นนางแน่งน้อยเปิดเผยถึงการดำเนินคดีม.112 กับเยาวชนวัย 14 ปีว่าเธอหวังว่าเด็กคนนี้จะกลับใจแต่เด็กคนนั้นไม่มีสำนึกดีใดๆ อีกทั้งยังโพสต์ดูหมิ่นและเกลียดชังสถาบันไม่จบไม่สิ้น ซึ่งนางแน่งน้อยระบุว่า เธอไม่ได้มีเจตนาทำลายอนาคตเด็ก และหวังว่าให้ศาลเป็นผู้ตัดผิดเอง