สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภคได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟสบุ๊ก เกี่ยวกับเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลจะนำมาใช้พื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด 19 แพร่ระบาด โดยนายสมชายได้เชิญชวนให้คนร่วมกันตรวจสอบเงินกู้ 4 แสนล้านบาท และช่วยกันเป็นหูเป็นตาตรวจสอบโครงการต่างๆที่เสนอมาขอมาแล้ว 592,532 ล้านบาท จากวงเงินกู้ที่อนุมัติได้ 400,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มีโครงการที่ส่อแววทุจริต และไม่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน นายสมชายได้ระบุภายในโพสต์ดังกล่าว
#เงินกู้ทุกบาทคือภาษีประชาชนต้องใช้อย่างคุ้มค่าโปร่งใสไร้ทุจริต
#เงินกู้400000ล้านต้องใช้เพื่อเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ
#กระสุนมีน้อยต้องใช้อย่างระมัดระวังยิงทุกนัดต้องเข้าเป้า
ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน สื่อมวลชน ข้าราชการ ท้องถิ่น
ชุมชนและคนไทยรักประเทศชาติ
ช่วยกันตรวจสอบเป็นหูเป็นตาโครงการต่างๆที่เสนอมาขอมาแล้ว 592,532
ล้านบาทจากวงเงินกู้ที่อนุมัติได้400,000ล้าน
ซึ่งทำเสร็จในเวลาที่สุดรวดเร็วมหัศจรรย์ยิ่ง
ช่วยกันตรวจหาให้ตัดโครงการออกดังนี้ครับ
1)โครงการที่ไม่ตรงวัตถุประสงค์ที่ต้องการเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนฐานรากเช่นเกษตร ท่องเที่ยว บริการ การตลาด ฯลฯ
2)โครงการที่ไม่เป็นประโยชน์จริงต่อชุมชนและไม่ตรงตามความจำเป็นและความต้องการของชุมชนในพื้นที่
3)โครงการเดิมที่ถูกตีตกจากพรบงบประมาณปกติแต่เอามาปัดฝุ่นตัดต่อพันธุ์กรรมมาเสนอใหม่
4)โครงการระยะยาวหรือโครงการที่ควรไปอยู่ในงบประมาณปกติแต่แอบลักไก่มาเสนอในโครงการเยียวยาฟื้นฟู
5)โครงการที่ส่อทุจริต
ช่วยกันรวบรวมข้อมูลหลักฐานส่งไปให้นายกรัฐมนตรี
และคณะกรรมการพิจารณาโครงการฯด่วน
เพื่อประกอบการพิจารณาไม่อนุมัติโครงการเหล่านั้น
ขอแรงพี่น้องประชาชนไทยช่วยกันทำการบ้านเพื่อประเทศชาติครับ
สมชาย แสวงการ
สมาชิกวุฒิสภา
ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน
สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา 11 มิถุนายน 2563
@ข้อมูลโครงการ
เงินกู้ 4 แสนล้านผ่านโครงการฟื้นฟูจ้างงานและอาชีพ
โดยเลขาฯสภาพัฒน์ให้สัมภาษณ์ไว้ดังนี้
1. ขอใช้เงินรวมแล้วกว่า 6 แสนล้านบาท ภายใต้ 4 แผนงาน รวม 28,425 โครงการ (วงเงินจริง 592,532 ล้านบาท)
2. โครงการที่ 1) การลงทุนและการพัฒนาในสาขาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ครอบคลุมภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้า การลงทุน ท่องเที่ยวและบริการ
– เสนอโดยกระทรวง ทบวง กรม ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้านเกษตร เกษตรเพิ่มมูลค่า การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
– เสนอมา 91 โครงการ วงเงิน 2.2 แสนล้านบาท
– โครงการที่เสนอวงเงินสูงสุดขอไปฟื้นฟูเอสเอ็มอี ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท
– ส่วนโครงการรองลงมา จะอยู่วงเงินหลักพันล้านบาท อาทิ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ที่กระทรวงเกษตรฯเสนอเข้ามา สมาร์ทฟาร์มเมอร์ พัฒนาเกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยวชุมชน การบริบาลผู้สูงอายุ การทำปะการังเทียมเพื่อดูแลสภาพแวดล้อม และแหล่งอาหารให้ปลาเข้ามา
– กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอโครงการที่เกี่ยวกับแปรรูปอาหาร เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้มีการคาดการณ์จะมีการจ้างงานถึง 6 หมื่นคนรวมเด็กจบใหม่
3. โครงการที่ 2) การฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ เสนอมาจากระดับหน่วยงานและจังหวัด รวมทั้งสิ้น 28,331 โครงการ วงเงิน 3.72 แสนล้านบาท
@เมื่อจำแนกเป็นรายจังหวัด มี 55 จังหวัดที่เสนอโครงการมา 28,196 โครงการ วงเงิน 2.03 แสนล้านบาท โดยเฉลี่ยโครงการมีมูลค่าอยู่ที่ 10-20 ล้านบาท เฉลี่ยต่อจังหวัดอยู่ที่ 100-1,000 ล้านบาทต่อจังหวัด
จำแนกเป็น 5 กลุ่ม คือ
3.1 ระดับจังหวัดเสนอโครงการเข้ามารวม 4,185 โครงการ วงเงินรวม 53,779.91 ล้านบาท
3.2 องค์กรบริหารส่วนจังหวัดรวม 823 โครงการ วงเงินรวม 16,559 ล้านบาท
3.3 เทศบาล–อบต.รวม 20,407 โครงการ วงเงินรวม 79,141.83 ล้านบาท
3.4 ส่วนราชการที่เสนอผ่านจังหวัดรวม 2,781 โครงการ วงเงินรวม 54,161.96 ล้านบาท
3.5 ส่วนของราชการรวม 13 กระทรวง หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีเสนอโครงการ 115 โครงการ วงเงินรวม 168,889.17 ล้านบาท
4. โครงการที่ 3) การกระตุ้นและการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน กระทรวงการคลังกำลังหารือมาตรการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการแจกเงินเพื่อไปเที่ยว ซึ่งยังไม่เสนอวงเงินกลับมา
5. โครงการที่ 4) การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับชุมชน และสนับสนุนกระบวนการผลิต ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่อยู่ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอยู่แล้ว คือ แผนงานที่ 2 ก็ทั้งนี้พบว่า มีส่วนราชการเสนอโครงการมาใหม่อีก 3 โครงการ วงเงินไม่มาก เป็นโครงการเกี่ยวกับช่องทางตลาดแบบดิจิทัล
6. บทบาทภาคประชาสังคมจะมีส่วนร่วมในการกลั่นกรองโครงการได้อย่างไรบ้าง
อ่านที่ link นี้ครับ
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ตั้งแต่วันที่ 8-15 มิถุนายน
2563
สามารถตรวจสอบรายชื่อโครงการจากทั้ง 77 จังหวัด
ที่ส่งมาได้ที่
7. สภาพัฒน์ฯจะเริ่มกลั่นกรองในช่วงวันที่ 22 มิ.ย.63 เป็นต้นไป
8. ตามกำหนดเดิมครม. จะเห็นชอบโครงการในรอบแรกได้ภายในวันที่ 2 หรือ 7 ก.ค. และเสนอ ครม.พิจารณารอบ 2 ในวันที่ 11 ส.ค.