“เจ้าบุญรอด” ลูกนกเงือกวัยร่วมหนึ่งเดือนถึงมือเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลรักษาแล้ว ด้านกลุ่มอนุรักษ์เกาะยาวเผยมีใบสั่งซื้อขายนกวอนหยุดการค้าหวั่นสูญพันธุ์
27 เม.ย.60 นายวรพจน์ ล้อมลิ้ม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา นำส่ง “เจ้าบุญรอด” ลูกนกเงือกวัยร่วม 1 เดือนที่ถูกฆ่าแม่พร้อมขโมยออกจากรัง ให้แก่ นายธีธัช ดำอุดม หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพังงา เพื่อนำเข้าอนุบาลและดูแลรักษา ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ต.ตากแดด อ.เมืองพังงา จ.พังงา ทางเจ้าหน้าที่เตรียมสถานที่ไว้อนุบาลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะมีการให้อาหารทั้งอาหารตามธรรมชาติ และอาหารเหลว โดยมีการเจือปนยาปฏิชีวนะผสมเข้าไปในอาหารเพื่อให้ลูกนกแข็งแรงขึ้น พร้อมกับส่องไฟปรับอุณหภูมิให้ร่างกายของเจ้าบุญรอดอบอุ่นขึ้น จากนั้นจะดูแลรักษาจนโตพร้อมฝึกให้อยู่กับธรรมชาติได้แล้วจึงจะปล่อยตามสภาพของธรรมชาติของนกชนิดนี้ ในขณะที่ทางกลุ่มอนุรักษ์เกาะยาว เผยมีใบสั่งลูกนกเงือกเพื่อการค้ามีทั้งขายเป็นตัวขายเป็นคู่ ในราคาคู่ละ 3,000 – 4,000 บาท พร้อมขอร้องให้หยุดการค้าขายลูกนกสัตว์ป่าคุ้มครอง หวั่นว่าในอนาคตจะสูญพันธุ์
นางเสาวคนธ์ เริงสมุทร สมาชิกเทศบาลตำบลเกาะยาวน้อย ในฐานะสมาชิกกลุ่มอนุรักษ์เกาะยาว กล่าวว่า ทราบว่ามีใบสั่งซื้อขายนกเงือกเกิดขึ้นในเกาะยาว โดยเฉพาะช่วงเดือนที่ผ่านมาพบมีการเลี้ยงนกเงือกอยู่คู่หนึ่ง ทางกลุ่มพยายามติดตามเพื่อไม่ให้ขายออกนอกพื้นที่เกาะยาว แต่เมื่อสมาชิกในกลุ่มมีภารกิจติดประชุมต่างจังหวัด กลับมาพบว่ามีการจำหน่ายให้คนต่างถิ่นแล้ว ตนเองกับสมาชิกในกลุ่มพยายามที่จะทำทุกทางให้คนในพื้นที่เกิดสำนึกการอนุรักษ์ หากไม่มีการอนุรักษ์ไว้ในอนาคตลูกหลานก็จะเห็นเพียงภาพเท่านั้นว่าอดีตเคยมีนกเงือกในพื้นที่เกาะยาวแต่ด้วยน้ำมือมนุษย์ทำให้นกเงือกสูญพันธุ์
นายธีธัช ดำอุดม หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพังงา กล่าวว่า สำหรับลูกนกแก๊ก เป็นประเภทนกเงือกชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กที่สุดในตระกูลนกเงือก หลังจากที่ได้รับส่งต่อนั้นทางสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพังงา พร้อมจะดูแล เบื้องต้นให้อยู่ในกรงอนุบาล มีการใช้ไฟส่องเพื่อปรับอุณหภูมิที่เหมาะสม พร้อมให้อาหารตามธรรมชาติผสมยาปฏิชีวนะ เพื่อให้ร่างกายลูกนกแข็งแรงซักระยะหนึ่ง เมื่อลูกนกแข็งแรงเติบโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ก็จะเปลี่ยนกรงให้อยู่รวมกับนกแก๊กตัวอื่นๆ และดูแลจนสามารถอาศัยอยู่กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้แล้วจึงจะปล่อยคืนธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติของสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพังงาอยู่แล้ว