เครื่องกรองอากาศ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ โพสต์เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant “แถลงการณ์ จากนักวิชาเกรียน แด่ ขสมก. เรื่อง การติดเครื่องกรองอากาศบนหลังคารถเมล์” เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2563
จากการที่ ขสมก. ออกแถลงการณ์ตอบโต้นักวิชาการ ที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน เรื่องการติดเครื่องกรองอากาศบนหลังคารถโดยสารประจำทาง นั้น ผมในฐานะที่เป็นนักวิชาการคนดังกล่าว ขอแย้งข้อชี้แจงต่างๆ ของ ขสมก. ดังนี้
- ขสมก. อ้างว่า กระทรวงคมนาคม มีนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล จึงได้ทดสอบการติดตั้งเครื่องกรองอากาศดักจับฝุ่น PM 2.5 ในขณะที่รถวิ่งให้บริการ
แต่นั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนแต่อย่างไร !! เพราะจริงๆ แล้ว สาเหตุของฝุ่น PM 2.5 ที่มีมากในกรุงเทพฯและปริมณฑลนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ที่ใช้เครื่องยนต์น้ำมันดีเซล มาตรฐานต่ำระดับแค่ยูโร 1 ยูโร 2 และยังมีอายุการใช้งานที่เก่ามาก ส่วนใหญ่มักจะเกิน 10 ปีขึ้นไป
ดังนั้น สิ่งที่ ขสมก. ควรจะทำโดยเร่งด่วน คือ เร่งปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์ของรถโดยสารประจำทางตัวเองให้ดีขึ้น รวมทั้งจัดหารถรุ่นใหม่ที่มีเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง ในระดับมาตรฐานที่สูงขึ้น เช่น ยูโร 4 ยูโร 5 รวมทั้งใช้รถโดยสารพลังงานไฟฟ้าได้แล้ว
ไม่ใช่พยายามจะหาทางแก้แบบปลายเหตุเช่นนี้
- ขสมก. อ้างว่า เครื่องต้นแบบนี้ สามารถกวาดอากาศที่มีฝุ่น PM 2.5 บนถนนขณะที่การจราจรหนาแน่น โดยอากาศปะทะเข้าหน้ารถ และผ่านเข้าเครื่องกรองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการดูดลมเข้าเครื่อง และไส้กรองที่ใช้ เป็นไส้กรองฝุ่น PM 2.5 ราคาถูก หาซื้อได้ทั่วไป
แต่ความจริงแล้ว การที่อากาศจะเข้าในเครื่องกรองได้เองนั้น ความเร็วของรถจะต้องสูงเพียงพอ ซึ่งขัดแย้งกับคำว่า “เมื่อจราจรหนาแน่น” ที่รถจะเคลื่อนตัวได้ช้ามาก จากการที่จราจรติดขัดหยุดนิ่ง
นอกจาก ความเร็วของรถที่ต้องมากพอจะทำให้อากาศไหลเข้าไปในเครื่องแล้ว อากาศนั้นต้องมีแรงดันเพียงพอที่จะทะลุผ่านผ่านไส้กรองฝุ่น PM 2.5 ของเครื่องด้วย มิเช่นนั้น ก็จะไม่เกิดการกรองขึ้น … นั่นคือสาเหตุที่ ทำไมปกติ เครื่องฟอกอากาศ จะต้องใช้พัดลมในการดูดอากาศให้เข้ามาในเครื่องด้วยความเร็วเพียงพอที่จะสามารถกรองฝุ่นได้
ขสมก. ยังอ้างว่า ใช้หลักการเดียวกับที่ใช้ในเมืองเซาท์แฮมป์ตัน ประเทศอังกฤษ และ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย อีกด้วย
การอ้างเช่นนั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะระบบกรองอากาศบนรถประจำทางของที่ประเทศอังกฤษใช้นั้น แตกต่างกับที่ ขสมก. ติดตั้งอย่างมาก
โครงการรถเมล์กรองฝุ่น ที่วิ่งทดลองในเมืองเซาท์แฮมป์ตัน ประเทศอังกฤษนั้น เป็นกิจกรรมรณรงค์ที่จัดทำโดยภาคเอกชน ในการจัดซื้อรถประจำทางรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ใช้เครื่องยนต์มาตรฐานสูงมาก ระดับยูโร 6 ซึ่งปล่อยมลภาวะน้อยมากๆ เพื่อเอามารณรงค์ให้คนใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการสร้างมลพิษลงได้
โดยโครงการนี้ได้สร้างสีสันด้วยการติดตั้งเครื่องกรองอากาศไว้บนหลังคารถด้วย (กรองฝุ่น PM 10) ซึ่งเครื่องนี้ใช้พัดลมขนาดใหญ่ ดูดอากาศเข้ามา ก่อนจะผ่านตัวกรองฝุ่นไปเก็บกักเอาไว้
แม้ว่าทางโครงการจะประชาสัมพันธ์ว่าประสบความสำเร็จอย่างดีในการกรองฝุ่น แต่จริงๆ แล้ว หลังจากทดลองวิ่งไป 100 วันนั้น พบว่าสามารถเก็บฝุ่นได้ปริมาณเพียง 65 กรัม หรือแค่เท่ากับลูกเทนนิส 1 ลูกเท่านั้นเอง
ส่วนที่อ้างถึงการใช้หลักการนี้ในเมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย ความจริงแล้ว มาจากคลิปรายการ เถื่อนเทรเวล ของคุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล โดยปรากฏเป็นเพียงแค่บริษัท start up แห่งหนึ่ง ที่ทำกล่องกรองอากาศ หวังจะให้คนเอาไปติดบนหลังคารถแท็กซี่และรถยนต์ส่วนบุคคล
แต่ในรายการเอง ผู้ผลิตก็ยอมรับว่ากล่องนี้มีประสิทธิภาพต่ำมาก นั่นคือ ถ้าจะทำให้อากาศในเมืองนิวเดลีดีขึ้นได้ จะต้องติดบนรถยนต์เป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของรถทั้งหมดที่วิ่งอยู่ในเมืองเดลลี ซึ่งมีเป็นแสนคัน
ดังนั้น การที่ ขสมก. เอากรณีในสองประเทศนี้มาอ้าง จึงไม่ใช่การอ้างอิงที่เหมาะสมถูกต้อง
- ขสมก. บอกว่าเครื่องกรองอากาศมีหน้ากว้าง 0.5 ลูกบาศก์เมตร (จริงๆ น่าจะเป็นหน่วยตารางเมตรนะ) จะกวาดอากาศได้ 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อการวิ่งรถ 1 เที่ยว ดังนั้น ถ้าคนสูดหายใจเฉลี่ย 0.5 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง มันจะสามารถกรองอากาศให้คนบนถนนได้ถึง 20,000 คน
แต่การคำนวณแบบนั้นเป็นวิธีการที่ผิด เพราะไม่ควรจะวัดจากปริมาณของอากาศที่เข้าเครื่องด้านหน้าของเครื่องกรอง ต้องวัดจากอากาศที่ผ่านเครื่องกรองออกมาด้านหลังแล้วว่าได้เป็นปริมาตรเท่าไหร่ ต่างหาก
ซึ่งปกติแล้ว เมื่อใช้ไส้กรองที่กรองฝุ่น PM 2.5 ได้ เช่น แบบ hepa filter ปริมาณของอากาศที่ออกมาด้านหลังจะลดลงเป็นอย่างมาก เพราะโดนเส้นใยของแผ่นกรองรวมทั้งฝุ่นที่ติดอยู่บนเส้นใหญ่นั้นกักอากาศเอาไว้ (จึงต้องใช้พัดลมไฟฟ้า ช่วยในการดูดและเป่าลมออกมา)
ยิ่งใช้นานเท่าไหร่ อากาศจะยิ่งไม่สามารถออกจากเครื่องกรองมาได้ เนื่องจากแผ่นกรองฝุ่นเกาะหนาแน่นเต็มไปหมดแล้ว … นั่นคือ การคำนวณอากาศที่จะให้กับคนบนถนนตามที่อ้างมานั้น เกินความจริงไปอย่างมาก
ในโลกความเป็นจริง ถึงจะมีอากาศที่ผ่านการกรองแล้ว ออกมาจากบนหลังคาด้านหน้ารถ แต่ในส่วนท้ายรถเอง ก็มีไอเสียออกมานับร้อยนับพันเท่า ของอากาศที่จะได้จากเครื่องกรองนั้น … ประสิทธิภาพโดยรวม จึงเรียกได้ว่า ไม่มีประโยชน์แต่อย่างไร
- ขสมก. รายงานผลการลองนำรถวิ่งให้บริการ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ว่า ผลการวัดค่า PM 2.5 ในอากาศก่อนเข้าเครื่องมีค่าอยู่ในระดับ 48-52 ในขณะที่ อากาศที่กรองแล้ว มีค่าอยู่ในระดับ 1-5 (คาดว่า มีหน่วยเป็นไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากเครื่องวัดปริมาณฝุ่น PM 2.5)
การรายงานผลการทดสอบแบบนี้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่แล้ว ยังแสดงถึงความไม่เข้าใจในเรื่องการวัดประสิทธิภาพของเครื่องกรองอากาศเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่เมื่ออากาศผ่านแผ่นกรอง จะทำให้จำนวนฝุ่นน้อยลง ดังค่าที่แสดงนั้น … แต่สิ่งที่ควรจะวัดจริงๆแล้ว คือเอาแผ่นกรองไปชั่งน้ำหนักเทียบก่อนและหลังจากการใช้งาน เพื่อหา “อัตราการดักฝุ่น” ว่าดักได้เป็นปริมาณเท่าไหร่ ต่อพื้นที่ ต่อหน่วยเวลา เพื่อนำไปคำนวณต่อไปให้เป็นค่าประสิทธิภาพของเครื่อง เทียบกับวิธีการหรือเครื่องอื่นๆ
(ยกตัวอย่างกรณีของรถเมล์กรองฝุ่นของประเทศอังกฤษ ที่เก็บฝุ่นได้ 65 กรัม จากการวิ่งเป็นเวลา 100 วัน ในพื้นที่เส้นทางรอบเมืองเซาท์แฮมป์ตัน)
เปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ถ้ามีคนอ้างว่า ตู้เย็นตู้หนึ่ง สามารถทำให้ทั้งสนามฟุตบอลเย็นได้ โดยการเอาเทอร์โมมิเตอร์ไปวัดอุณหภูมิที่หน้าประตูตู้เย็นที่เปิดอยู่ ก็จะเห็นว่าวัดค่าอุณหภูมิได้ต่ำอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ทำให้อากาศทั้งสนามเย็นลงแต่อย่างไร
- ขสมก. สรุปคำชี้แจงว่า การทดลองนี้ เป็นความพยายามในการแก้ปัญหาเร่งด่วน โดยกระทรวงคมนาคม และ คณะทำงานจากหลายหน่วยงาน ซึ่งหากได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จะดำเนินการขออนุญาตต่อไปกรมการขนส่งทางบก
ในฐานะที่ผมเป็นนักวิชาการ และเป็นประชาชนคนนึง ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลนำไปใช้ในการบริหารประเทศ จึงอยากขอร้องให้นักวิชาการท่านอื่นๆ ที่อยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องการทดลองนี้ ให้มีความกล้าหาญทางวิชาการ ที่จะใช้ความรู้ที่ท่านมี ให้ข้อเท็จจริงกับ รมต. กระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิด อย่างตรงไปตรงมา ว่าจริงๆ แล้ว มันไม่ได้มีประสิทธิภาพ ไม่ได้มีความเหมาะสม ในการนำไปใช้การแต่อย่างไรครับ