กรมประมงแจงสหรัฐฯ ไม่ได้สั่งห้ามนำเข้า น้ำปลาไทย เป็นเพียงการกักกันสินค้าเฉพาะโรงงาน อยู่ระหว่างยื่นเอกสารชี้แจงเพิ่มเติม ซึ่งจะไม่นำไปสู่การสั่งห้ามนำเข้า ระบุการประกาศเตือนไม่เกี่ยวกับการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งอย่างที่เป็นข่าว วอนประชาชนอย่าตระหนก
จากกรณีที่สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกาห้ามนำเข้า น้ำปลาไทย เนื่องจากเกรงว่าอาจมีสารก่อมะเร็งหรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคนั้น นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าประมงก่อนส่งออกไปต่างประเทศ กรมประมงจึงได้ประสานข้อเท็จจริง พบว่าองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐ (USFDA) ได้ขึ้นบัญชี Import Alert เลขที่ 16-120 ประเภท Detention without Physical Exam (DWPE) โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาจากประเทศไทยบางแห่งไว้ เนื่องจากตรวจพบกระบวนการควบคุมการผลิต (HACCP) ของโรงงาน ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัย HACCP (21 CFR 123.3) ของ USFDA ซึ่งอาจก่อให้เกิดสารโบลูทินัม และสารฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ ซึ่งหากพบในปริมาณที่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้
นายอดิศร กล่าวอีกว่า USFDA ได้เสนอแนวทางแก้ไขกรณีดังกล่าว 2 แนวทาง คือ 1. ให้โรงงานผู้ผลิตน้ำปลาของไทยปรับกระบวนการผลิตให้มีขั้นตอนการผ่านความร้อน หรือ 2. นำเสนอข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์มายืนยันว่ากระบวนการผลิตน้ำปลามีการควบคุมที่เทียบเท่ากับข้อกำหนด HACCP ของ USFDA และสามารถป้องกันการเกิดสารพิษดังกล่าวได้ โดยทางโรงงานได้ส่งเอกสารชี้แจงตามข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว เพียงแต่มีขอข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งอยู่ระหว่างทางโรงงานแก้ไขและจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้เจ้าหน้าที่ USFDA พิจารณา
อธิบดีกรมประมง กล่าวอีกว่า ทางกรมประมงอยู่ระหว่างการจัดทำและรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมกระบวนการหมักน้ำปลาที่สามารถป้องกันการเกิดสารโบลูทินัม และฮีสตามีนในผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการนำเสนอแนวทางการป้องกันปัญหากับ USFDA ส่วนกระบวนการให้ความร้อน ซึ่งเป็นหนึ่งแนวทางที่ USFDA เสนอนั้น ผู้ผลิตส่วนใหญ่ของไทยไม่นิยมนำมาใช้ปฏิบัติ เนื่องจากจะทำให้กลิ่นและรสเฉพาะของน้ำปลาเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับกระบวนการผลิตน้ำปลามีการใช้เกลือในปริมาณสูงเพียงพอที่จะยับยั้งการเกิดเชื้อโรคและสารที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้งกระบวนการผลิตน้ำปลาของไทย ซึ่งไม่ได้ใช้วิธีการต้ม แต่ก็เป็นการผลิตตามมาตรฐานการผลิตน้ำปลาของ CODEX ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
“การออกประกาศเตือน Import Alert น้ำปลาไทยในครั้งนี้ จึงไม่ได้มีเหตุเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การห้ามนำเข้า (Import Ban) น้ำปลาจากประเทศไทยทั้งหมดอย่างที่เป็นข่าว แต่เป็นการห้ามนำเข้าเฉพาะโรงงานที่อยู่ใน Import Alert เท่านั้น และไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะ USFDA ไม่ได้มีข้อกำหนดให้ตรวจสารก่อมะเร็งในผลิตภัณฑ์น้ำปลาตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในการผลิตน้ำปลา ประกอบกับประกาศ Import Alert เลขที่ 16-120 ก็ไม่กล่าวถึงการสุ่มตรวจสารก่อมะเร็งในน้ำปลาด้วย” นายอดิศรกล่าว
อธิบดีกรมประมง กล่าวต่อว่า สหรัฐฯ มีระบบการควบคุมการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยมี USFDA เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล การประกาศ Import Alert เป็นวิธีการของ USFDA ในการแจ้งเจ้าหน้าที่ของตนที่ประจำอยู่ที่ด่านตรวจต่าง ๆ ให้ทราบว่าจะจัดการกับสินค้าดังกล่าวอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ USFDA จะเตือนและให้กักกันสินค้าจากผู้ส่งออก ผู้ผลิตของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีสารอันตรายปนเปื้อนหรือไม่ได้มาตรฐานตามที่ FDA กำหนด ซึ่งไม่เชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การประกาศ Import Ban ประเทศผู้ส่งออกแต่อย่างใด
เหตุผลหลักที่สินค้าจะถูก Import Alert แบ่งเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ สินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยที่ USFDA กำหนด และระบบการควบคุมการผลิตของโรงงานไม่เป็นไปตามข้อกำหนดการควบคุมความปลอดภัยของกฎระเบียบ HACCP หลังจากถูกประกาศขึ้น List ผู้ผลิต ผู้ส่งออกต้องมีการพิสูจน์ตนเอง ในกรณีสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานฯ USFDA จะสุ่มตรวจสินค้าที่เข้ามาใหม่โดยต้องไม่มีปัญหาใด ๆ อีกอย่างน้อย 5 Shipments แล้วจึงทำการยื่นเรื่องต่อ USFDA ขอถอดถอนรายชื่อตนจาก List ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาประกาศรายชื่อประเทศผู้ส่งออกใน Import Alert เลขที่ 16-120 กว่า 40 ประเทศ และมีโรงงานในรายชื่อดังกล่าวกว่า 200 โรงงาน ดังนั้น ผู้ส่งออกของไทยควรเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎระเบียบของ USFDA เพื่อให้สินค้าของตนเป็นไปตามเกณฑ์ที่สหรัฐกำหนดและสามารถส่งออกไปขายในประเทศสหรัฐฯ ได้ และอย่าเพิ่งวิตกกังวลต่อกรณีดังกล่าว