แม้สังคมในยุคนี้จะเข้าสู่ยุค 4.0 แต่เรื่องราวความเชื่อในสิ่งลี้ลับดูเหมือนจะยังคงไม่หมดไปจากสังคมไทย และเรื่องราวเหล่านี้มักกลายเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำไปหลอกลวงสร้างความเสียหายให้กับผู้คนจำนวนมาก ล่าสุดกรณีองค์เทพสุพรรณิการ์ ใช้เฟสบุ๊คหลอกระดมเงินจากผู้เสียหายไปกว่า 22 ล้านบาท ปรากฏว่าแท้ที่จริงแล้วบุคคลผู้นี้เป็นแค่นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยชื่อดังใน จังหวัดมหาสารคาม
นี่เป็นคลิปภาพที่หญิงวัย 26 ปี ซึ่งอ้างมีองค์เทพสุพรรณิการ์ ประทับร่าง นำมาโพสต์ไว้ในเฟสบุ๊คส่วนตัวใช้ชื่อว่า “น้ำตาล สุพรรณิการ์” ชักชวนให้ผู้ที่สนใจนำเงินมาลงทุนออมทรัพย์ โดยอ้างว่าจะให้เงินตอบแทนเป็นดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 50
คลิปภาพมีการใช้แอพพลิเคชั่นตกแต่งภาพด้วยมงกุฎดาวมีประกายคล้ายกับผู้ที่มีญาณวิเศษ มีการนำเงินจำนวนมากมาโชว์สร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้มีผู้ที่หลงเชื่อเข้าร่วมลงทุนกับหญิงสาวรายนี้มากถึง 140 คน มีการลงทุนขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท ไปจนถึงหลายแสนบาท มูลค่าความเสียหายรวมกันกว่า 22 ล้านบาท
ทีมข่าวไบรท์นิวส์ ตรวจสอบข้อมูลหญิงสาวรายนี้ภายหลังผู้เสียหายเข้าแจ้งความกับตำรวจภูธรกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม พบว่า เฟสบุ๊คน้ำตาล สุพรรณิการ์ ได้ปิดตัวไปแล้ว เมื่อ 4 วันก่อน และเมื่อเสิร์ทข้อมูล หญิงสาวรายนี้ พบว่า คือ นางสาวสุพรรณิการ์ นรศรี ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาการบัญชี มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน จังหวัดมหาสารคาม และไม่น่าจะเป็นบุคคลที่มีญาณวิเศษอย่างที่แอบอ้าง
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการตรวจสอบของตำรวจที่ค่อนข้างมั่นใจว่า องค์เทพสุพรรณิการ์ ไม่น่าจะมีตัวตน และเป็นเพียงคำโอ้อวดของหญิงสาวที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ โดยชื่อสุพรรณิการ์ เป็นเพียงชื่อตัวของหญิงสาวรายนี้เท่านั้น และทุกอย่างที่หญิงรายนี้อ้างถึงไม่มีสิ่งใดจริงแม้แต่น้อย
ล่าสุดตำรวจได้ออกหมายจับนักศึกษาสาวรายนี้แล้วในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และมีการติดตามตัวมาดำเนินคดี โดยได้ไปตรวจสอบที่หอพักภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งถูกระบุว่าเป็นสถานที่พักของหญิงสาวรายนี้ แต่ไม่สามารถเข้าไปภายในได้ เพราะติดระเบียบของทางมหาวิทยาลัยที่ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้ ส่วนที่บ้านพักของบิดาหญิงสาวรายนี้ใน จังหวัดมุกดาหาร รวมถึงบ้านพักของมารดาในจังหวัดสกลนคร ตำรวจได้ส่งกำลังไปตรวจสอบแล้วไม่พบตัวหญิงสาวรายนี้ทั้งสองแห่ง
การหลอกเหยื่อในลักษณะเช่นนี้ เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะนี้ โดยมิจฉาชีพอาศัยช่องทางโซลเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟสบุ๊ก ชักชวนให้มีการระดมเงินมาลงทุน โดยเสนอผลตอบแทนในอัตราที่สูง ลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ และเมื่อระดมเงินได้มากพอแล้วมิจฉาชีพก็จะปิดเฟสบุ๊ค หรือช่องทางติดต่อกันผ่านโซเชียลมีเดียหนีไปพร้อมกับเงินที่ระดมได้ กว่าผู้เสียหายจะรู้ตัวก็ตกเป็นเหยื่อแล้ว
ความเสียหายที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องหามาตรการในการแก้ปัญหา โดยล่าสุดเตรียมที่จะเสนอกฎหมายยึดทรัพย์บุคคลที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายหลอกลวงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยมีเป้าหมายจะกวาดล้างผู้ที่มีพฤติการณ์เช่นนี้ให้หมดไปโดยเร็ว
สกู๊ป องค์เทพสุพรรณฺกา
https://youtu.be/7b7GEDFNWR0