การจากไปของ วิชัย ศรีวัฒนประภา บุคคลซึ่งถือเป็นตำนานของ เลสเตอร์ ซิตี้ นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะบรรดาพ่อค้าแข้งระดับซีเนียร์ที่เริ่มต้นจากศูนย์ก่อนได้รับโอกาสจากเจ้าพ่อคิงพาวเวอร์นำตัวมาสู่ทีมจนปูทางสู่การเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก และนี่คือเรื่องราวที่ครั้งหนึ่งประดุจเทพนิยายเลสเตอร์ที่มีเบื้องหลังคือชายที่ชื่อว่า วิชัย
“ยูเคยทำทีมฟุตบอลมั้ย เราบอกไม่เคย เขาบอกว่าถ้ายูไม่ได้อยู่ในวงการนี้ ยูอย่าเข้ามาเลย เสียเวลา”
วลีข้างต้นคือคำสบประมาทแรกในการสานฝันซื้อทีมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่เซอร์จอห์น มาเดจสกี้ เจ้าของทีมเรดดิ้ง ที่ขณะนั้นยังอยู่ในลีกสูงสุดปัดข้อเสนอซื้อทีมของเสี่ยวิชัยด้วยเหตุผลที่มองว่าเจ้าสัวอาจไม่ใช่คนฟุตบอลเป็นเพียงนักธุรกิจที่ต้องการหาประโยชน์จากสโมสรใดสโมสรหนึ่งในอังกฤษเท่านั้น
คำถามแรกที่วิชัย ถามมันดาริช ไม่ได้เกี่ยวกับสปอนเซอร์อะไรทั้งสิ้น “ยูขายทีมไหม?”
จนกระทั่งปี 2010 เป็นเลสเตอร์เองที่ติดต่อเข้ามาหาเสี่ยวิชัยเพื่อสอบถามว่าต้องการจะให้ King Power ติดหน้าอกเสื้อเป็นสปอนเซอร์ทีมหรือไม่? หลังปรึกษากับลูกชาย อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เพื่อสอบถามเกี่ยวกับทีมดังย่านมิดแลนด์พบว่าการลงทุนสปอนเซอร์หน้าอกมูลค่า 3 แสนปอนด์ ไม่ได้มีประโยชน์ต่อธุรกิจเพราะขณะนั้นเลสเตอร์เป็นเพียงแค่ทีมกลางตารางในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ หรือลีกรองซึ่งมูลค่าด้านการตลาดแตกต่างจากทีมในลีกสูงสุดอย่างสิ้นเชิง
“คุณพ่อเป็นคนมีวิสัยทัศน์ประหลาด มองไกลจนผมตามไม่ทัน เวลาท่านพูดอะไรจะทำให้ได้ เอาให้ได้” อัยยวัฒน์เผย
อย่างไรก็ตามในปี 2010 เสี่ยวิชัยตัดสินใจจ่ายเงินซื้อทีมเลสเตอร์ด้วยสนนราคา 40 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,920 ล้านบาท เพื่อเข้าบริหารจัดการ และวางโครงสร้างกับเป้าหมายแรกนำทีมขึ้นสู่ลีกสูงสุด แต่นั่นก็ไม่ง่ายเพราะด้วยสภาพทีมขณะนั้นที่มีนักเตะตัวหลักอย่าง พอล กัลลาเกอร์ ดีกรีทีมชาติสก็อตแลนด์ 1 นัด โนแบร์โต้ โซลาโน่ อายุปาเข้าไป 37 ปี แม้จะมีดาวรุ่ง (ขณะนั้น) อย่าง แอนดี้ คิง หรือมาร์ติน แว็กฮอร์น แต่ก็มิอาจพาทีมเลื่อนชั้นได้ในปีแรก
“ก็เหมือนชีวิตแหละ มันยากน่ะดีแล้ว
จะได้รู้ว่าความล้มเหลวเป็นยังไง“
คำพูดของ วิชัย วิชัย ศรีวัฒนประภา หลังทีมประสบความล้มเหลวพ่ายต่อ วัตฟอร์ด ในเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้นปี 2013 ข้อความดังกล่าวไม่ใช่แค่จุดประกายและปลุกเร้าทีมงานแต่ยังมาพร้อมความทะเยอทะยานขีดสุดเมื่อนำเข้านักเตะอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิล (2011), ริยาด มาห์เรซ (2014) , เอ็นโกโล่ กองเต้ (2015) ทั้งหมดคือกลไกสำคัญนำไปสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015-16 สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่แก่สโมสรและวงการลูกหนังเมืองผู้ดีอย่างยิ่งใหญ่
แคสเปอร์ ชไมเคิล (Kasper Schmeichel)
เซ็นฟรีจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด ปี 2011
ถึงบอส – คุณเซ็นผมกลับมาเมื่อปี 2011 คุณบอกผมว่าเราจะเป็นแชมป์ภายใน 6 ปี และเราจะทำสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยกัน
เจมี่ วาร์ดี้ (Jamie Vardy)
จาก ฟลีตวู้ด ทาวน์ ปี 2012
จากนักเตะนอกลีกที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกสู่ทำเนียบทีมชาติอังกฤษในฐานะศูนย์หน้าตัวหลักชุดยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018
ริยาด มาห์เรซ (Riyad Mahrez)
จาก เลอ อาร์ฟ ปี 2014
หนึ่งในแข้งมหัศจรรย์ที่ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” สอยมาในราคาแค่ 400,000 ปอนด์ จากนักเตะที่ไม่มีใครรู้จักไปสู่แข้งค่าตัวแพงระยับเมื่อถูกทีมมหาเศรษฐีอย่าง แมนฯซิตี้ ซื้อไปในสนนราคา 60 ล้านปอนด์
เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ( N’Golo Kanté)
จาก เลอ อาร์ฟ ปี 2015
อีกหนึ่งผลผลิต “ดินสู่ดาว” ที่เลสเตอร์ซื้อมาในราคา 350,000 ปอนด์ ก่อนสถาปนาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดในโลก และยึดตัวจริงทีมชาติฝรั่งเศสถาวร นี่คืออีกหนึ่งแข้งที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสโมสรตามเจตนารมณ์ของเสี่ยวิชัย
แฮร์รี่ แม็คไกวร์ (Harry Maguire)
จาก ฮัลล์ ซิตี้ ปี 2017
แม้จะย้ายมาร่วมทีมหลังทีมชุดประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกแต่ แม็คไกวร์ ถือเป็นนักเตะคีย์แมนของทีมในปัจจุบัน รวมถึงเป็นกองหลังตัวจริงทีมชาติอังกฤษซึ่งกำลังตกเป็นเป้าหมายของทีมยักษ์ใหญ่อย่าง แมนฯยูไนเต็ด ในทุกซัมเมอร์ของตลาดนักเตะ