แม่โร่ร้องเรียน สายไหมต้องรอด เนื่องจากลูกชายวัย 14 ปี ถูกรุ่นพี่ ม.3 บังคับพี้กัญชา จนหมดสติหัวใจหยุดเต้น แพทย์ต้องปั้มหัวใจ ถาม ผอ.โรงเรียน กลับบอก ลูกเอากัญชามาเสพเอง โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้น เด็กชายเอ (นามสมมุติ) นั้นเล่าว่า
เด็กชายเอเล่าเหตุการณ์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 66 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี โดยในตอนนั้นคือช่วงเวลาที่ยังเรียนอยู่ ในตอนที่เด็กชายเอเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็พบว่าในห้องน้ำมีควันลอยขึ้นมาตนเองรู้ว่าในห้องน้ำดังกล่าวมีการสูบกัญชากัน แต่เมื่อตนเข้าไปในห้องน้ำ ขณะที่กำลังจะเดินออก เพื่อย้ายไปเข้าห้องน้ำฝั่งอื่น มีรุ่นพี่ ม.3 จำนวน 3 คน ซึ่งสูบกัญชาอยู่ในห้องน้ำ เดินออกมาเรียก พร้อมลากตัวตนเองเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากนั้นรุ่นพี่บังคับให้สูบกัญชาจากบ้องกัญชาที่รุ่นพี่เตรียมไว้ ซึ่งเด็กชายเอพยายามปฏิเสธ แต่รุ่นพี่ไม่ยอม พร้อมเอาสิ่งของบางอย่างที่ไม่ใช่กัญชาใส่เข้าไปในบ้องกัญชาด้วย พร้อมบอกว่า “พี่มีอีกเป็นถุงๆ” ก่อนจะบังคับให้ตนเองสูบจนครั้งแรกสำลัก และรุ่นพี่ยังได้บังคับให้สูบอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงปล่อยตนเองออกจากห้องน้ำ
อาการหลังสูบกัญชา
จากนั้นเด็กชายเอก็พยายามเดินกลับห้องเรียน แต่มีอาการมึนหัวอย่างรุนแรง เริ่มเห็นภาพเบลอ และปวดห้อง ก่อนจะเดินไปอาเจียน ซึ่งขณะนั้นตนเองเริ่มจะไม่รู้สึกตัว แต่ได้ยินเสียงมีคนพูดว่า อย่านอน ถ้านอนจะอ้วก แต่ตนไม่รู้ว่าใครพูด ก่อนจะภาพตัด ไม่รู้สึกตัวอีก และมารู้สึกตัวว่ามีคนกดหน้าอก และได้ยินเสียงคุณครูคนหนึ่ง ก่อนจะหมดสติไป แล้วมารู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล
หลังจากนั้นคุณแม่น้องเอ ก็ได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลทางแพทย์ เจ้าของไข้ลูกชายบอกกับแม่ว่า ให้ทำใจ เพราะลูกชายหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว ก่อนที่ทีมแพทย์จะได้ช่วยกันปั้มหัวใจ จนลูกชายกลับมาหัวใจเต้นอีกครั้ง
คุณแม่ตามเรื่อง
และคุณแม่ก็ได้ติดตามเรื่องไปกับทางโรงเรียน แต่กลับไม่ได้เรื่องอะไรอีกทั้ง ผอ.โรงเรียนยังบอกว่า โดยโรงเรียนมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดของห้องน้ำที่เกิดเหตุ ซึ่งตนได้พยายามสอบถาม เพื่อขอตรวจสอบกล้องดังกล่าว แต่ทางโรงเรียนไม่มีการให้ตนได้ดู
ตนจึงได้สอบถามกลับไปว่าทำไมทางโรงเรียนจึงกลับกลอกไปมาแบบนี้ แต่ไม่ได้คำตอบ จึงตัดสินใจเข้าขอความช่วยเหลือ เพราะหลังเกิดเรื่อง ตนรู้สึกว่า ลูกชายไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากทางโรงเรียน ซ้ำยังมีการถูกกล่าวหาว่าลูกชายเป็นคนเอากัญชามาเสพเองด้วย จนถึงขั้นน็อค ทั้งๆ ที่มีครูมาบอกกับตนเองในตอนแรกว่าลูกชายถูกบังคับ ตนเกรงว่าครอบครัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการที่ทางโรงเรียนพยายามปกปิดความผิด เพื่อป้องกันความเสียหายไปถึงตัวโรงเรียน แต่กลับโยนความผิดให้กับลูกชายของตน รวมถึงตลอดระยะเวลาการรักษา ไม่เคยมีคนของโรงเรียนเดินทางมาหาลูกชายที่โรงพยาบาล แม้แต่ครั้งเดียว
ขอบคุณข้อมูล : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY