“คบซ้อน-ซ่อนกิ๊ก” วลีฮิตในโลกโซเชียลตอนนี้ที่ไม่มีใครอยากเจอกับตัวเอง เพราะไม่มีใครอยากเป็น “ตัวเลือก” ในเรื่องของความรัก ในทาง “จิตวิทยา” คุณหมอสุขภาพจิตมีคำอธิบาย ของพฤติกรรม “คบซ้อน” ว่าเกิดจากอะไร
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า มนุษย์มี “สมองส่วนคิด” และ “สมองส่วนอยาก” การคบซ้อนเกิดขึ้นจาก ใช้สมองส่วนอยากมากกว่าสมองส่วนคิด เพราะการที่คนสองคนคบหากัน ก็อาจเกิดไขว้เขว้ขึ้นได้ ความรู้สึกไขว้เขว้นี้คือ สมองส่วนอยาก แต่เราสามารถควบคุมความอยาก และยับยั้งพฤติกรรมได้ด้วยสมองส่วนคิด รู้สึกได้แต่ไม่ทำ เพราะสมองส่วนคิดมีความเข้มแข็งมากกว่า
ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวอีกว่า การเกิดเหตุการณ์คบซ้อน เป็นเพราะเราใช้แต่สมองส่วนอยาก ไม่ได้มีการใคร่ครวญ ผู้ที่ทำคิดว่าตัวเองมีสิทธิ แต่ลืมคิดไปว่า หากเป็นตัวเองจะรู้สึกเช่นไร การที่ใช้ความคิดตามใจเราเอง ก็จะมีปัญหาได้แม้จะคบเป็น 10 ปีก็มีปัญหาได้ เพราะไม่มีความลับในโลก
“ความรักนั้น ไม่ได้รักกันเพียงปีหรือ 2 ปี แต่เป็นสัมพันธภาพที่ยืนยาว ซึ่งไม่ได้อยู่ที่ความหวานชื่น แต่สิ่งที่สำคัญคือ มีความผูกพันและมีความรับผิดชอบ แต่ความรู้สึกพิศวาส ความรักหวานชื่น เป็นความรักส่วนอยาก แต่ความยั่งยืน คือ ความรักที่ทุกคนใฝ่ฝัน ซึ่งจะมาจากความผูกพันและความรับผิดชอบ ที่ต้องมาจากสมองส่วนคิดเป็นหลัก”
นอกจากความสัมพันธ์ของ คน 2- 3 คนแล้ว ในโซเชียลก็มีอารมณ์ร่วม ตอบโต้รุนแรง มีการยั่วยุให้เลิกกัน นพ.ยงยุทธ อธิบายว่า กรณีนี้เรียกว่า Blame Speech เป็นการตำหนิเรื่องส่วนตัว โดยใช้ถ้อยคำตำหนิรุนแรง
“ต้องยึดหลัก 2 ไม่ 1 เตือน ประกอบด้วย 2 ไม่ คือ 1.ไม่สื่อสารความรุนแรง 2.ไม่ต่อความรุนแรง และ เตือน ด้วยถ้อยคำที่สุภาพและนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง ส่วนการจะไม่ให้เกิดความหวาดระแวงนั้น ก็ต้องมีความไว้วางใจเป็นกติการ่วมกันใช้หลักสัญญาใจ เพราะไม่สามารถติดตามชีวิตคนรักได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายใดละเมิดกติกาหรือสัญญาก็จะสิ้นสุดลง”
ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวต่อไปอีกว่า การส่งสารไม่ดีสะท้อนให้เห็นว่า คุณภาพจิตเราไม่ดี การเข้าไปในสังคมออนไลน์จะขาดการยับยั้งชั่งใจ ดึงเอาสิ่งที่ไม่ดีออกมา ส่งผลกระทบต่อคนที่เรารัก หากเราไม่อยากเจอสถานการณ์นี้ ต้องยึดถึงใจเขาใจเรา อย่าลดระดับคุณภาพจิตของเราให้ต่ำ เพราะการส่งต่อข้อความที่ไม่ดี ถือเป็นการลดระดับสภาพจิตของเรา ให้มีอารมณ์ด้านบวกให้มาก มีอารมณ์ด้านลบให้น้อย มีคุณภาพจิตที่ดี มีความสามารถทางจิตใจ เช่น การจัดการกับอารมณ์และความเครียด มีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น หากเราจะเดินหน้าต่อไป ต้องนำเรื่องนี้มาปรับใช้ ทำให้คุณภาพจิตของเราดีไม่ทำให้สุขภาพจิตเราต่ำลง
ส่วนใครที่อาจมีปัญหา คุณหมอแนะนำว่า ต้องหาความช่วยเหลือ หาที่ปรึกษา หาหน่วยบริการ โดยคนใกล้ตัวก็ให้ยึดหลัก 3 ส 1.สอดส่องมองหาคนใกล้ชิดว่ามีปัญหา 2. ใส่ใจรับฟัง และ 3.ส่งต่อเชื่อมโยง
ทางที่ดี พยายามควบคุมสมองส่วนอยาก และใช้สมองส่วนคิดให้มาก ปัญหาคบซ้อนจะได้ไม่เกิดขึ้น และไม่มีใครต้องเจ็บปวดเพราะความรักอีก
