‘นมแม่’ นั้นเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนะคะว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับเบบี้ แต่ก็มีคุณแม่บางคนที่น้ำนมน้อย ไม่สามารถให้นมลูกเองได้ พยายามหาวิธีในการให้เจ้าตัวเล็กได้ดูดนมจากเต้าเพื่อได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ กระแส ‘การบริจาคนมแม่’ จึงเกิดขึ้น
และที่กำลังฮือฮาจนอาจกลายเป็นดราม่าเรื่องยาวก็เป็นได้ คือกรณี ‘ควรหรือไม่? กับการบริจาคนมแม่’ ของคุณพ่อคุณแม่คนดังคู่หนึ่ง ที่จัดตั้งโครงการเพื่อบริจาคน้ำนมแม่ที่ผลิตจากเต้าได้เป็นจำนวนมาก จึงอยากเอื้อเฟื้อน้ำนมของตนเองไปยังคุณแม่ที่มีความต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เช่นกัน แต่ก็ปรากฏว่าโครงการดังกล่าวมีเสียงตอบรับทั้งทางบวกและทางลบจนเกิดเป็นคำว่า ‘ควร หรือ ไม่ควร’ กันแน่?
ไบรท์ออนไลน์ จึงไม่รอช้า ขอนำข้อมูลความรู้เกี่ยวกับนมแม่และการบริจาคน้ำนมแม่จาก พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ทารกแรกเกิดโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และอนุกรรมการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย มาสรุปให้คุณแม่ทุกคนได้นำไปพิจารณากันดังนี้จ้า
- การบริจาคนมแม่นั้น ‘ห้ามบริจาคกันเอง’ เนื่องจากจะไม่มีการตรวจคัดกรองเชื้อ และไม่มีการฆ่าเชื้อ ทำให้เด็กที่ได้รับน้ำนมไปมีโอกาสที่จะติดเชื้อ เช่น HIV เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นต้น
- สามารถขอรับบริจาคน้ำนมแม่จากธนาคารนมแม่ได้ แต่ต้องนำไปใช้กับเด็กป่วย หรือเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเท่านั้น เนื่องจากนมแม่ที่ได้จากการบริจาค จะมาจากคุณแม่ที่มีการตรวจเลือดทุกๆ 3 เดือน เพื่อตรวจเช็กว่าไม่เป็นพาหะของไวรัสต่างๆ ข้างต้น เมื่อผ่านการตรวจแล้วธนาคารจะนมแม่นั้นไปฆ่าเชื้อ ทำให้นมดังกล่าวมีต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูง คือน้ำนมปริมาณ 1 ออนซ์ (30 cc) ประมาณ 200 บาท ทำให้นมนี้ถูกนำไปให้เด็กป่วยหรือเด็กคลอดก่อนกำหนดซึ่งกระเพาะไม่สามารถย่อยนมปกติได้เท่านั้น
- แม้ใน 1 วัน เด็กคลอดก่อนกำหนดหรือเด็กป่วยจะต้องกินนม (ที่ได้จากธนาคารนมแม่) มากถึงวันละ 10 ออนซ์ หรือประมาณ 2,000 บาท แต่มีงานวิจัยระบุว่า เด็กที่ได้กินนมจากธนาคารนมแม่ จะมีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว มีภาวะการติดเชื้อแทรกซ้อนน้อย และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เร็ว ทำให้ค่านมที่ดูเหมือนแพงนั้นกลับถูกกว่าการรับสารอาหารทางเส้นเลือด นมแม่จากธนาคารจึงถือว่าเป็นยาในการรักษาเด็กป่วยเท่านั้น ไม่นำมาใช้ในเด็กปกติ
- หากคุณแม่ที่คลอดลูกออกมาปกติสมบูรณ์ แต่ไม่สามารถผลิตน้ำนมเองได้อย่างเพียงพอ แนะนำว่าต้องเลี่ยงไปใช้นมผงแทนนมแม่ค่ะ โดยเลือกนมผงที่ลูกไม่แพ้หรือนมที่ทำให้ป่วยบ่อย หากแพ้นมวัวต้องเปลี่ยนไปกินนมถั่ว ถ้าแพ้นมถั่วด้วยต้องไปกินนมสูตรพิเศษ เป็นต้น
- กรณีที่มีการบริจาคนมแม่ ไม่ควรจะทำต่อไปค่ะ คุณแม่ที่ผลิตน้ำนมได้ในปริมาณมาก ล้นตู้เก็บ ต้องพยายามลดรอบการปั๊มนมเพื่อให้ร่างกายผลิตน้ำนมออกมาได้พอดีกับปริมาณที่ลูกต้องการในแต่ละวัน แต่หากคุณแม่มีพื้นที่เก็บรักษานมก็สามารถเก็บสะสมไปได้เรื่อยๆ เพราะเจ้าตัวเล็กสามารถกินนมแม่ได้จนถึงอายุ 6-7 ขวบเลยค่ะ แต่ต้องฝึกให้ลูกกินนมสต๊อก เนื่องจากหากไม่ถูกฝึกเลยรสเหม็นหืนของนมอาจทำให้เจ้าตัวเล็กไม่กินได้ค่ะ ดังนั้น ควรฝึกให้เขากินนมสต๊อกวันละ 1-2 ครั้งนะคะ
- น้ำนมแม่สามารถเก็บที่อุณหภูมิ -20 องศา ได้นาน 1 ปี หากเกิน 1 ปี คุณแม่อย่าเพิ่งทิ้งนะคะ ลองชิมก่อน ถ้าไม่มีรสเปรี้ยวก็ยังกินได้ค่ะ
- ห้ามรับนมบริจาค ยกเว้นเจ้าตัวเล็กของคุณป่วยและอยู่ในห้อง ICU แล้วมีน้ำนมจากธนาคารนมแม่มาให้ เพราะเป็นนมที่มีการฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว แม้การพาสเจอไรซ์จะทำให้คุณค่าน้ำนมลดลงแต่ก็ยังมีประโยชน์มากกว่านมผงและมีคุณค่าพอในการรักษาเด็กที่ป่วยให้กลับมาแข็งแรงค่ะ
- การรับบริจาคน้ำนมกันเองก่อความเสี่ยงกับเด็ก เพราะหากคุณแม่ผู้บริจาคเป็น หรือเป็นพาหะของเชื้อไวรัสก็เสี่ยงที่ลูกของเราจะรับเชื้อนั้นมาด้วย ซึ่งเชื้อบางชนิดหากอยู่ในระยะแฝงจะไม่สามารถตรวจพบได้ค่ะ
ได้ทราบข้อมูลเรื่องนมแม่ การบริจาคน้ำนม และธนาคารนมแม่ไปแบบนี้แล้ว ที่เหลือคือการตัดสินใจของคุณพ่อคุณแม่แล้วละค่ะ ว่าจะเลือกวิธีการแบบไหนสำหรับลูกรักของคุณ …
อ้อ เดี๋ยวครั้งหน้าจะมาบอกเคล็ดลับกระตุ้นการผลิตนมแม่ที่คุณหมอสุธีราฝากมาให้คุณแม่ทุกคนนำไปใช้ด้วย อย่าลืมติดตามไบรท์ออนไลน์นะคะ
ขอบคุณภาพประกอบจาก : มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย