เกือบลืมกันไปแล้วด้วยซ้ำว่าประเทศไทยเรามีโทษสูงสุดคือโทษประหารชีวิต! เพราะไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นเวลา 8 ปีเต็มแล้ว (ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2552) ก่อนจะปัดฝุ่นนำการประหารแบบฉีดยามาใช้อีกครั้งเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมากับนักโทษชายธีรศักดิ์ อายุ 26 ปี ผู้ต้องขังคดีฆ่าชิงทรัพย์ ซึ่งผู้ต้องหารายนี้ได้ก่อเหตุด้วยการชิงทรัพย์และแทงผู้ตายนับ 10 แผลตั้งแต่เมื่อปี 2555 จึงมีความผิดทางอาญา มาตรา 245 ประกอบมาตรา 19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ถูกลงโทษด้วยการฉีดยาเข้าเส้นเลือด ซึ่งกฎหมายในบ้านเราโทษทางอาญามี 5 สถาน คือ ประหารชีวิต ,จำคุก,กักขัง,ปรับและยึดทรัพย์สิน โดยโทษประหารชีวิต เป็นโทษสูงสุด แต่ละเว้นสำหรับผู็ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ความผิดที่จะได้รับโทษประหารชีวิต คือผิดฐานค้ายาเสพติด, ผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ผิดฐานฆ่าข่มขืน, ผิดฐานกบฏ ,ผิดฐานก่อการร้าย ,ผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์มีผู้ถึงแก่ความตาย,ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ, ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
การประหารชีวิตในประเทศไทยมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่การประหารชีวิต 21 สถาน , การประหารด้วยการบั่นคอ , การยิงเป้าและการฉีดยา ซึ่งการฉีดยาจะเป็นการประหารที่ทารุณน้อยที่สุดโดยใช้ตัวยา 3 ตัวได้แก่เข็มแรกจะฉีดยา Sodium thiopental เข้าไปให้นักโทษหลับ จากนั้นจึงฉีดเข็มที่ 2 Pancuronium bromide และ เข็มที่ 3 Potassium chloride ตามลำดับ เพื่อให้หัวใจหยุดสูบฉีดโลหิตภายในไม่ถึงนาที
เนื่องจากมีหลายประเทศในโลกได้ยกเลิกการใช้โทษประหารไปแล้ว จึงทำให้เกิดคำถามในประเทศไทยว่าโทษประหารชีวิตยังจำเป็นแค่ไหนในสังคมบ้านเรา? หากยกเลิกจะมีปัญหาอะไรตามมา และหากใช้ต่อไปจะกลายเป็นการไร้มนุษยธรรมหรือไม่?