คกก.ยาเสพติดฯ เห็นชอบร่างกฏหมายลูกนิรโทษครอบครองกัญชา หลังกฏหมายประกาศใช้ให้แจ้งครอบครองใน 90 วันไม่รับโทษ และผู้ป่วยสามารถใช้ต่อได้จนกว่าเข้าระบบใหม่ เตรียมรับฟังความเห็นเพิ่มเติมต่อ
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานกรรมการคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ โดยมีผู้แทนจากกรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการสูงสุด กรมศุลกากร คณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กระทรวงกลาโหม และผู้ทรงคุณวุฒิ ว่า ที่ประชุมพิจารณาอนุบัญญัติทั้งหมด 5 ฉบับ ประกอบด้วย กฎกระทรวง 1 ฉบับ เกี่ยวกับการผลิต การปลูก การสกัด การวิจัย การจำหน่าย และการส่งออก และประกาศอีก 4 ฉบับ แบ่งเป็น ประกาศตำรับที่มีส่วนประกอบของกัญชา ที่จะใช้ในทางการแพทย์ แพทย์แผนไทย และแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งจะอนุญาตให้ปรุงยา และประกาศเกี่ยวกับการนิรโทษผู้ครอบครองกัญชา จำนวน 3 ฉบับ
เลขาธิการ อย. กล่าวต่อไปว่า สำหรับประกาศเกี่ยวกับการนิรโทษผู้ครอบครองกัญชา ขอให้ผู้ครอบครองกัญชามาแจ้งภายใน 90 วัน หลังกฎหมายบังคับใช้ โดยไม่ต้องรับโทษ ประกอบด้วย
1.หน่วยงาน องค์กร ภาครัฐ ภาคเอกชน วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์แผนไทยแพทย์พื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียน มหาวิทยาลัย หน่วยงานที่ทำการวิจัย 2.ผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยว่ามีความไม่สบายจริงๆ ก็ให้มาแจ้งและสามารถใช้ยาจากกัญชาต่อไปได้ และ 3.บุคคลอื่น รวมวิธีการเก็บและทำลาย คือ ไม่อยู่ในคุณสมบัติทั้ง 2 ข้อ ไม่ใช่ผู้ป่วย ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพและหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ใช่ทำกัญชาเพื่อทางการแพทย์และวิจัย หากแจ้งแล้วทางกฎหมายใช้คำว่า จะต้องส่งมอบกัญชาหรือยาที่เข้ากัญชา ให้กับหน่วยงานของรัฐหรือกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เพื่อนำไปทำลาย ซึ่งเขียนไว้อยู่ในร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯของ สนช. โดยที่ประชุมพิจารณาและให้ความเห็นชอบในร่างอนุบัญญัติทั้งหมด แต่ยังต้องมอบให้ อย. ไปดำเนินการรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและให้เอากลับมาอีกครั้งหนึ่ง
นพ.ธเรศ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ก็พิจารณาประเด็นข้อทักท้วง การนิรโทษอาจทำให้ผู้ป่วยจะไม่มียาจากกัญชาใช้ เพราะระบบใหม่ยังไม่พร้อมรองรับ ได้พิจารณาตามกฎหมาย มาตรา 22 ส่วนของผู้ป่วยเห็นตรงกันว่า เมื่อแจ้งการครอบครองแล้วก็ให้ผู้ป่วยใช้ยานี้ไปจนกว่าจะได้ไปพบแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน และได้รับการสั่งให้มีการใช้กัญชาตามระบบใหม่ที่เกิดขึ้น โดยยึดหลักว่า ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรับรองจากแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์แผนไทยว่าป่วยจริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็น 4 กลุ่มโรคที่ได้รับการยอมรับ จะพิจารณาที่ตัวผู้ป่วย ให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ โดยตามที่กรมการแพทย์เสนอ คือ กลุ่มโรคที่มีผลยืนยันแล้ว 4 โรคในแพทย์แผนปัจจุบัน กลุ่มโรคที่มีแนวโน้มว่าเป็นไปได้ และกลุ่มที่ต้องทำการวิจัย ซึ่งผู้ป่วยสามารถใช้ต่อไปได้ แต่ใน 2 กลุ่มหลังอาจต้องมีการทำโครงงานวิจัย เพื่อเป็นหลักประกันว่า คนไข้ไม่มีอันตราย และต้องมีกระบวนการรายงาน ว่าคนไข้ดีขึ้นจริงหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 4 กลุ่มโรคที่มีการเสนอในคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ คือ ลมชักในเด็ก กล้ามเนื้อเนื้อแข็ง ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการได้รับยาเคมีบำบัด และปวดเรื้อรัง ส่วนอีก 2 กลุ่มโรค คือ กลุ่มโรคที่น่าจะมีประโยชน์ทางการแพทย์ อาทิ โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ เครียด และการใช้ในผู้ป่วยระยะสุดท้าย ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มคือ กลุ่มที่อาจจะมีประโยชน์ เช่น การใช้นำมันกัญชาในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งจะต้องเริ่มวิจัยตั้งแต่หลอดทดลอง และระดับคลินิกต่อไป