“มาร์ค” ลุ้นทุกคะแนนเสียงมีค่า ดันยอด ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เตือนสติ ส.ว.ฟังเสียงปชช.โหวตนายกฯ หวั่นซ้ำรอยจุดชนวนขัดแย้ง ย้ำไม่ร่วม”เพื่อไทย” หากไม่ก้าวข้ามระบบครอบครัว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “ทุบประเด็น” ทางสถานีโทรทัศน์ไบรท์ทีวีช่อง 20 ว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์จัดให้มีเลือกหัวหน้าพรรค เพราะประชาธิปัตย์เป็นพรรคประชาธิปไตย จึงให้สมาชิกที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงได้กำหนดทิศทางของพรรค หวังว่าพรรคอื่นจะทำเป็นประเพณี เพื่อให้สมาชิกเลือกหัวหน้าพรรคให้เข้าสู่ระดับสากล ยืนยันว่ามีการแข่งขันกันจริงจังเพื่อเสนอทางเลือกความคิดให้ผู้สนับสนุนพรรค แต่การแข่งขันอาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เมื่อแข่งขันจบทุกคนก็มีวุฒิภาวะความเป็นประชาธิปไตย ทุกคนเดินหน้าทำงานให้พรรคต่อไป มั่นใจว่าจากนี้พรรคประชาธิปัตย์จะเข้มแข็งขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคนั้น ยอมรับว่าในสังคมเรามีสัมพันธ์ส่วนบุคคล แต่ช่วงแรกอาจมีสมาชิกพรรคบางคนรู้สึกเกรงใจที่ไปร่วม ทำให้กรรมการบริหารพรรคได้เรียกมาคุยกันทันที เพราะจะนำความสัมพันธ์ส่วนตัวอยู่เหนือหลักการไม่ได้ หากนายสุเทพจะเดินทางไปบางพื้นที่ไหนยังสามารถไปพูดคุยได้ แต่ถ้าทำกิจกรรมคนพรรคประชาธิปัตย์จะไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่นไม่ได้ ถ้าทำก็ต้องพิจารณาบทลงโทษ
หนุนเลือกตั้งบัตร 2 ใบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า พรรคจะส่งผู้สมัคร ส.ส. 350 เขต ส่วนเรื่องบัตรใบเดียว มองได้ว่าคะแนนยิ่งมากเท่าไรจะยิ่งดี หลายคนอาจมองว่า ในพื้นที่ภาคใต้คะแนนจะดีอยู่แล้วไม่ต้องกระตือรือล้น แต่ทุกคะแนนมีความหมาย หรือในพื้นที่ภาคอีสานอาจมองว่าเเข่งขันไม่ได้ แต่ทุกคะแนนจะช่วยให้พรรคมี ส.ส.บัญชีรายชื่อมากขึ้น โดยคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ต้องเข้มแข็ง เพื่อส่งเสริมให้พรรคได้ประโยชน์มากที่สุด ทั้งนี้ เห็นว่าบัตรเลือกตั้ง 2 ใบดีกว่าใบเดียว เพราะประชาชนที่เลือก ส.ส.เขตได้คาดหวังการทำงานของ ส.ส.คนนั้น แต่เลือกพรรคอีกใบเพราะต้องการดูนโยบายและทิศทางผู้ที่จะไปเป็นตำแหน่งสูงสุดในรัฐบาล ส่วนถ้าเหลือบัตรเลือกตั้งใบเดียวประชาชนจะชั่งใจอย่างไร
“ถ้าอยากให้ ส.ส.สะท้อนนโยบายก็เขียนกติกาได้ ว่าให้คะแนนบัญชีรายชื่อกำหนดจำนวน ส.ส.ในสภา ดังนั้นการเหลือใบเดียวการแข่งขันจะรุนแรงเพื่อต่อสู้เอาทุกคะเเนน ทำให้โอกาสจะเกิดการทุจริตจะมีมากขึ้น แต่ยืนยันประชาธิปัตย์ไม่กังวล เพราะมีคะแนนพื้นฐานกระจายไปทั่วประเทศ เมื่อก่อนในภาคอีสานและเหนือ มีคะแนนเป็นล้าน ทุกคะแนนจึงมีความหมาย ผมอยากให้ไปเลือกพรรคการเมืองที่คิดว่าเหมาะสมไปทำหน้าที่”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ยื่นเงื่อนไขร่วมสังฆกรรม “เพื่อไทย-พปชร.”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่เรื่องจำนวน ส.ส.ยังประเมินไม่ได้มาก เพราะแต่ละพรรคการเมืองยังมีความพร้อมที่ไม่ชัดเจน แต่ขณะนี้ประชาธิปัตย์ยังมั่นใจว่าคะแนนเสียงที่ได้รับจากการเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาอยู่ที่ 11-12 ล้านเสียงจะเพิ่มมากขึ้น เพราะส่วนหนึ่งจะมีผู้ได้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกประมาณ 6 ล้านคน อาจจะมีผลการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการเมืองก็ได้ นอกจากนี้มีคนชอบพูดว่าระบบออกแบบว่าเป็นเบี้ยหัวแตก แต่ระบบไม่สามารถกำหนดได้ว่าพรรคใหญ่หรือพรรคเล็ก แต่ผู้ที่กำหนดได้คือคนไปเลือกตั้ง ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้อยากเสนอทางเลือกที่แตกต่าง จากที่ไม่ชอบคำถามว่าจัดรัฐบาลล่วงหน้า แล้วเราจะไปเลือกตั้งทำไม เราจะไม่ฟังเสียงประชาชนเลยหรือไม่ เพราะการที่ส.ว.จะได้เลือกนายกฯ ต้องฟังเสียงของประชาชน อย่าฝืนประชาชนเพราะถ้าพรรคไหนรวบรวมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง ควรได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาล ส.ว.ไม่ควรไปฝืนเพื่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่
“แต่ถ้า ส.ส.เลือกมาแล้ว เลือกนายกฯ ไม่ได้ ส.ว.ก็ใช้อำนาจในการเลือกให้เดินหน้าไปได้ ถ้าพรรคไหนมีเสียงเกิน 250 ก็ต้องไปคุยกับพรรคอื่น ส่วนแนวทางที่ประชาธิปัตย์จะคุยต้องยึดการบริหารประเทศเป็นตัวตั้ง แต่จะร่วมกับเพื่อไทยหรือไม่นั้น ที่ผ่านมาย้ำมาตลอดถ้าไม่สามารถสลัดจากผลประโยชน์ของครอบครัว หรือไม่เอาผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งคงจะมารวมกันไม่ได้ ขณะเดียวกันถ้าพรรคพลังประชารัฐ สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยได้คะแนน 200 เสียง หากพรรคประชาธิปัตย์จะไปร่วมด้วยต้องดูว่าการบริหารเป็นอย่างไร ถ้าบริหารแล้วเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ก็ไม่ไปร่วม หรือถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีคะแนน 200 เสียงแล้วพลังประชารัฐได้คะแนน 50-70 เสียงผมจะไปถามว่าจะร่วมกับประชาธิปัตย์หรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
โต้วาทกรรมดีแต่พูด ชูแก้เหลื่อมล้ำ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า คำว่าดีแต่พูด เป็นวาทกรรมคือพูดแล้วไม่ทำ แต่ช่วงก่อนเป็นายกฯ ได้เสนอวาระประชาชน อาทิ จัดเรียนฟรี เบี้ยผู้สูงอายุ เมื่อได้เป็นนายกฯ ก็ทำเรื่องเหล่านี้สำเร็จภายใน 99 วันแรก ทำให้เข้าใจว่าเมื่อมีการถกเถียงกันแต่หักล้างเหตุผลตนไม่ได้ ก็บอกว่าดีแต่พูด แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ อยากให้ประชาชนได้ประโยชน์ ไม่ใช่มาถกเถียงว่าอันนี้เป็นเผด็จการ อันนี้เป็นประชาธิปไตย หรือวาทกรรมคนดี คนโกง ทั้งที่ ประเทศมีทางเลือก เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อนด้านเศรษฐกิจ เพราะการบริหารขณะนี้ตอบโจทย์ประชาชนไม่ได้ นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาความเหลือมล้ำสูงอันดับต้น ๆ ของโลก หรือประเทศไทยมาถึงจุดเศรษฐกิจแบบเดิมเติบโตจะอิ่มตัวแล้ว ถ้าไม่นำเทคโนโลยีหรือความคิดสร้างสรรค์มาสร้างมูลค่าเราจะติดกับดักแบบนี้ต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้สังคมไทยจะเป็นสังคมสูงวัย เรากำลังจะแก่ก่อนรวย ต่างจากในอดีตจะรวยก่อนแก่ แต่ประชาธิปัตย์มีทางเลือกชัดเจน และเป็นพรรคการเมืองแบบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ยอมรับการตรวจสอบได้ ใช้อุดมการณ์มาเสนอทางออกให้ประชาชน ส่วนเรื่องเศรษฐกิจจะดูตัวเลขจีดีพีอย่างเดียวไม่มีความหมายแล้ว เพราะในภาคใต้มีรายได้ครัวเรือนน้อยลง แต่ในช่วงที่เป็นรัฐบาลได้วางระบบลงทุนการออม ขยายประกันสังคมสำหรับผู้ที่ไม่มีนายจ้าง แต่ที่ผ่านมารัฐบาลที้งสองชุดไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่ประชาธิปัตย์จะไปต่อยอดพร้อมเสริมนโยบายใหม่ ๆเข้าไป อาทิ จากการประกันรายได้สินค้าเกษตร จะเพิ่มประกันภัยเข้าไป ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะท่วมหรือจะแล้ง โดยสนับสนุนการส่งเสริมการเกษตรที่เพิ่มมูลค่าให้ยั่งยืน อาทิ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้กฎหมายเป็นอุปสรรคมาก จากธุรกิจใหม่มีอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจ อาทิ แกร๊ป อูเบอร์ ดังนั้นการต่อสู้กับการเอาเปรียบทางการค้า ต้องแก้กฎหมาย ไม่นั้นผู้ประกอบการขนาดเล็กไม่มีทางเกิดได้ จาก 4 ปีที่ผ่านมาคสช.เชื่อเรื่องการควบคุม และการรวมศูนย์ แต่ประชาธิปัตย์เชื่อเรื่องการกระจายอำนาจ เชื่อเรื่องความหลากหลาย ที่ยังเป็นคนละหลักคิดกัน แต่ไม่อยากหยิบยกเรื่องปฏิรูปหรือยุทธศาสตร์มาทะเลาะกัน ให้เอาของจริงดีกว่า หากใครชนะการเลือกตั้งแล้ว ต้องยอมรับการตรวจสอบ หรือนำกลไกมาแก้ไขปัญหาให้ประเทศดีกว่า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ในเรื่องหนี้สิน จากปัญหาหนี้นอกระบบ จะต้องหาความเหมาะสมเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ไปพร้อมกับสร้างให้ประชาชนมีรายได้เพื่อไม่ให้กลับมาในจุดเดิม นอกจากนี้ในปี 2562 ไทยจะเป็นประธานอาเซียนด้วย จึงเสนอให้ดูโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นระบบ เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนตั้งแต่ คมนาคม เพื่อลดต้นทุนไปสู่การส่งเสริมการค้าการลงทุน
