“ครม.” เคาะ 5 แนวทาง เปิดทางให้ประชาชนอยู่อาศัยและทำกินในเขต ป่าสงวน ได้ ย้ำต้องการให้เข้าไปใช้พื้นที่ป่าอย่างเหมาะสม โดยไม่บุกรุกมากกว่าเดิม
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ว่า ครม.เห็นชอบหลักการในเรื่องพื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลที่เข้าบุกรุกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนต่าง ๆ ซึ่งมีสาระสำคัญในการวางกรอบบริหารจัดการประชาชนในกลุ่มดังกล่าว 5 แนวทาง คือ กลุ่มที่ 1.ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3-5 ก่อนมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.41 ให้หน่วยงานจัดสรรที่ดิน และให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.)อนุญาตให้อยู่อาศัยได้และใช้ประโยชน์ทำกินแบบแปลงรวมไม่น้อยกว่า 5 ปีแต่ไม่เกิน 30 ปี
กลุ่มที่ 2.ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3-5 หลังมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.41 โดยอนุญาตให้อยู่อาศัยได้และทำกินแบบแปลงรวมได้ แต่ต้องปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจอย่างน้อยร้อยละ 50 ของพื้นที่ รวมถึงต้องดูแลรักษาไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่มเติม
นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า กลุ่มที่ 3. ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่อยู่ในพื้นที่กลุ่มน้ำชั้นที่ 1-2 ก่อนมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.41 ให้เจ้าหน้าที่จัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่น ควบคุมการใช้ที่ดินภายใต้การอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงห้ามบุกรุกและขยายพื้นที่ให้มากกว่าเดิม และไม่ใช้ที่ดินให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม กลุ่มที่ 4.ชุมชนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ทั้งก่อนและหลังหลังมติ ครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.41 ให้มีการสำรวจการครอบครองสิทธิว่าได้เข้ามาอยู่และใช้พื้นที่จริงสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การอนุญาตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้คณะทำงานสำรวจและนำแนวทางต่าง ๆ รวมถึงนำภาพถ่ายทางอากาศมาประกอบการพิจารณา และ กลุ่มที่ 5. ชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ให้ทำการสำรวจตรวจสอบการครอบครองพื้นที่ โดยให้จัดทำข้อมูลจำแนกตามรูปแบบการใช้ประโยชน์ จัดการชี้แจงให้ประชาชนที่อยู่รับทราบถึงวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ทั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลมีแนวทางปรับ ให้ประชาชนกับป่าสงวนหรือป่าอนุรักษ์อยู่ร่วมกันได้ ในแนวทางทั้ง 5 กลุ่มนี้ เพื่อเข้าไปบริหารจัดการให้ประชาชนเข้าไปใช้พื้นที่ป่าอย่างเหมาะสม ไม่มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนมากกว่าเดิม